กลุ่มวิจัยสหรัฐฯ ยัน คน ไม่ใช่ตัวการ โลกร้อน
นักวิจัยกลุ่มเล็กๆ ในสหรัฐฯ เชื่อว่าคนไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงของลมสุริยะและสนามแม่เหล็กนอกโลกที่ส่งผลให้การก่อตัวของเมฆซึ่งช่วยสะท้อนความร้อนเปลี่ยนแปลงไป
เอเอฟพี กลุ่มผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ กลุ่มเล็กๆ ยังคงยืนกรานเสียงแข็งต่อไปว่า คน ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน แต่เอกสารกองโตก็ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นเท่านั้น ผลสรุปดังกล่าวถือเป็นการโต้แย้งอย่างมากกับผลสรุปการเกิดภาวะโลกร้อนของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาไอพีซีซีเพิ่งเปิดตัวรายงานชิ้นสำคัญว่า มนุษย์มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดภาวะโลกร้อนอย่างไม่เหลือความคลุมเครือใดๆ ให้ต้องสงสัยกันอีก แม้ว่าทั้ง 2 ความคิดเห็นนี้จะมาจากฐานข้อมูลที่ใกล้เคียงกันมากก็ตาม การถอยร่นของธารน้ำแข็งและการเหือดหายไปของหิมะในเขตเทือกเขาแอลป์ ชั้นน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกที่บางลงในช่วงหน้าร้อน และการละลายของผืนดินที่เป็นน้ำแข็ง แสดงว่าความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้มาถึงตั้งแต่เดือน มี.ค.แล้ว รายงานของไอพีซีซีระบุ ทั้งนี้ ไอพีซีซีเกิดจากการระดมผู้เชี่ยวชาญกว่า 3,000 คนทั่วโลก หลายรายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐฯ โดยไอพีซีซีได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้ร่วมกับ อัล กอร์ (Al Gore) อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ชูประเด็นผลพวงจากปัญหาภาวะโลกร้อนให้ประชาคมโลกได้ตระหนัก ซึ่งไอพีซีซีเผยด้วยว่า คาร์บอนจากการเผาไหม้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน เป็นตัวกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ ทำให้อุณหภูมิผิวโลกสูงขึ้น ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในที่สุด อย่างไรก็ตาม บทความของผู้เชี่ยวชาญกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับสมมติฐานว่าคนคือตัวการภาวะโลกร้อน ก็ได้รับการตีพิมพ์ลงใน อินเทอร์เนชันแนล เจอร์นัล ออฟ ไคลมาโทโลจี (International Journal of Climatology) ของราชบัณฑิตยสถานแห่งอังกฤษสาขาอุตุนิยมวิทยา (Britains Royal Meteorological Society) โดยเสนอสมมติฐานต่างออกไป การสังเกตรูปแบบการเกิดภาวะโลกร้อนเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแนวโน้มอุณหภูมิที่ผิวโลกและที่ชั้นบรรยากาศกลับไม่ได้แสดงลักษณะเฉพาะใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะเรือนกระจกเลย เดวิด ดักลาส (David Douglas) ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์ก หัวหน้าทีมวิจัย กล่าว ซึ่งการระบุว่าการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตลอดจนก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหานั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกันจอห์น คริสตี (John Christi) ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอลาบามา เผยว่า ข้อมูลดาวเทียมและข้อมูลจากบอลลูนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ยังเห็นด้วยว่าแนวโน้มอุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโลกยังมีค่าต่ำกว่าที่ผิวโลกด้วย ซึ่งหากเป็นไปตามแบบจำลองการเกิดภาวะเรือนกระจกจริง อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศต้องเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีก 2 -3 เท่า ข้อมูลการสังเกตจากดาวเทียมทำให้เห็นว่าแบบจำลองการเกิดภาวะเรือนกระจกได้มองข้ามปัจจัยเรื่องเมฆและไอน้ำไป ซึ่งมันจะจำกัดผลของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยฝีมือคนเราให้เหลือน้อยลง ทีมวิจัยกล่าว โดยพวกเขายังมีเหตุผลที่น่ารับฟังที่จะทำให้เชื่อไปได้ว่า แบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ใช้ในปัจจุบันได้คาดการณ์ผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกเกินจริงไปมาก เฟรด ซิงเกอร์ (Fred Singer) นักภูมิอากาศวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นทีมวิจัยอีกคน ตั้งข้อสังเกตโดยยกตัวอย่างว่า อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นระหว่างปี 2443 -2483 ก่อนที่คนาจะเริ่มเผาไหม้เชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอนจำนวนมหาศาลเหมือนทุกวันนี้ แต่อุณหภูมิของโลกกลับลดลงในช่วงปี 2483 -2518 เมื่อมีการใช้น้ำมันและถ่านหินจำนวนมาก อุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้นของโลกในเวลานี้เป็นเพียงวัฏจักรธรรมชาติระหว่างสภาพภูมิอากาศแบบอบอุ่นและหนาวเย็น ซึ่งเห็นได้จากแกนน้ำแข็ง ตะกอนใต้ทะเลลึก และหินงอก ดังที่มีการตีพิมพ์ในวารสารนับร้อยๆ งานวิจัย ซิงเกอร์ กล่าวและชี้ว่า ไม่อาจชี้ชัดไปได้ว่าคนจะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่ก็ยังคลุมเครือ แต่สาเหตุว่าเพราะเหตุใด ภาวะดังกล่าวกลับปรากฏขึ้นในปัจจุบันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน แต่ทีมวิจัยคาดว่า สาเหตุหลักน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของลมสุริยะและสนามแม่เหล็กนอกโลก ซึ่งมีผลต่อการไหลของรังสีคอสมิกที่ส่งผลต่อการเกิดเมฆ อันเป็นตัวควบคุมปริมาณแสงอาทิตย์ที่ตกมาถึงผิวโลก และทำให้เกิดภูมิอากาศ มากกว่าที่มันจะเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยฝีมือมนุษย์
|
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล
โทร. 02-990-0331
http://www.apdi2002.com
http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ
|