5 เรื่องน่าค้นหา “วันคริสต์มาส”
ช่วงเทศกาลคริสต์มาสเป็นอีกเทศกาลแห่งความสุขที่หลายคนจะได้มอบสิ่งดีๆ ให้แก่กัน และได้ใช้เวลาไปกับครอบครัว ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสให้เราได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กับปริศนาที่มาพร้อมกับตำนานแห่งเทศกาลด้วย
3. จูบมรณะ “มิสเซิลโท”
ตามธรรมเนียมในวันคริสต์มาสหญิง-ชายที่อยู่ใต้ช่อมิสเซิลโท (Mistletoe) จะต้องจูบกัน หากแต่มิสเซิลโทซึ่งเป็นกาฝากนี้ กลับให้ “จูบมรณะ” แก่ต้นไม้ที่มันอาศัยอยู่ แม้ว่าจะสังเคราะห์แสงได้เอง แต่มิสเซิลโทก็ดูดน้ำและสารอาหารจากต้นไม้ที่มันเกาะอยู่ จนกระทั่งต้นไม้นั้นตายไป ส่วนมิสเซิลโทเองก็ถูกขยายพันธุ์ไปยังไม้ต้นอื่นๆ โดยนกที่มากินผล
อย่างไรก็ดี มีเพียงช่อตัวเมียเท่านั้นที่ออกผล มิสเซิลโทตัวเมียจึงถูกตัดออกไปขาย ส่วนช่อตัวผู้ถูกทิ้งไว้บนต้นไม้ต่อไป ซึ่งหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนท์ประมาณว่า มีช่อมิสเซิลโทตัวผู้ประมาณ 60-90 % ที่ถูกทิ้งไว้บนยอดไม้ ทำให้ช่วงหน้าหนาวต้นไม้เหล่านั้นเสี่ยงต่อการรับน้ำหนักปริมาณมาก ส่วนหน้าร้อนก็ถูกดูดน้ำเลี้ยงจากช่อมิสเซิลโทอย่างหิวกระหาย
4. “ต้นคริสต์มาส” ปลูกได้ดังใจ
ต้นคริสต์มาสที่มีหนามน้อยลง มีใบเรียบร้อยและมีกิ่งก้านที่แข็งแรงสำหรับประดับตกแต่ง เป็นต้นคริสต์มาสที่ตลาดต้องการ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงใช้เวลาหลายสิบปี เพื่อพัฒนาพันธุ์ต้นคริสต์มาสให้ตรงตามความต้องการ และยังได้ต้นคริสตมาสที่ต้านทานโรคและโตเร็ว
แกรี ชาสแทกเนอร์ (Gary Chastagner) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่า “มิสเตอร์ต้นคริสตมาส” จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตท (Washington State University) ใช้เวลาถึง 30 ปีเพื่อปรับปรุงต้นคริสตมาสให้ตรงตามความต้องการ ซึ่งเขาได้ทดลองผสมสายพันธุ์ต้นสนจากทั่วโลก เพื่อให้ได้ต้นคริสต์มาสที่ไร้หนาม
ชาสแทกเนอร์คาดหวังว่าจะพบ “ยีนมาร์กเกอร์” ที่ควบคุมหนามของต้น แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นเขาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ต้องมีการทดสอบต้นไม้เป็นเวลาหลายปีเพื่อขจัดสายพันธุ์ที่ไม่ทนต่อสภาพอากาศ เพื่อจะหาต้นที่แข็งแรงแยกออกจากต้นที่อ่อนแอ เขาต้องใช้เวลา 7-8 ปีเพื่อปลูกต้นทนจากเมล็ดที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์แล้ว หากประสบความสำเร็จพันธุ์ไม้ของเขาจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของต้นคริสต์มาสปลอมที่ครองตลาดอยู่
5. ตามหา “ซานตา” ตัวจริง
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี้เด็กๆ นับล้านทั่วโลกต่างรอคอยคุณลุงชุดแดง ที่จะมาพร้อมลากเลื่อนและกวางเรนเดียร์อย่างใจจดใจจ่อ และระหว่างที่รอคอยนี้ พวกเขาสามารถติดตามการเดินทางของซานตาคลอสได้ทางเว็บไซต์ ซึ่งพัฒนาโดย หน่วยป้องกันอากาศยานแห่งอเมริกาเหนือ (North American Aerospace Defense Command) หรือ NORAD
วิธีการติดตามซานต้าของหน่วย NORAD คือการหาสัญญาณการเดินทางของซานต้าด้วยเครื่องมือไฮเทค 4 ระบบ คือเรดาร์ตรวจจับสัญญาณ ซึ่งจะจับสัญญาณที่แสดงว่าซานต้าได้ออกจากขั้วโลกเหนือแล้ว แล้วส่งต่อให้ระบบดาวเทียมที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับรังสีอินฟราเรด โดยพุ่งเป้าไปที่กระจุกสีแดงของกวางรูดอล์ฟ
ระบบถัดไปคือเครือข่าย “กล้องซานต้าแคม” (Santa Cam) กล้องดิจิตอลที่มีความเร็วสูง สำหรับตรวจจับเส้นทางเดินของซานต้าและเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่ง NORAD ใช้งานระบบนี้เฉพาะวันคริสต์มาสอีฟ และสุดท้ายคือเครื่องบินขับไล่ซีเอฟ-18 ที่จะขับเข้าใกล้ซานตาแล้วเชิญสู่ประเทศในแถบอเมริกาเหนือ รวมถึงเอฟ-15 และ เอฟ-16 ซึ่งจะขับประกบข้างกับกวางเรนเดียร์ทั้ง 9 ตัวด้วย
อย่างไรก็ดี ไม่มีข้อมูลว่าหน่วย NORAD ได้พบซานต้าจริงหรือไม่ แต่พวกเขามีประเพณีติดตามซานต้าในวันคริสต์มาสอีฟเช่นนี้มากว่า 40 ปีแล้ว และพัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจจับมาเรื่อยๆ
จุดเริ่มต้นเกิดจากโฆษณาเชิญชวนให้เด็กๆ โทรหาซานต้าเมื่อปี ค.ศ.1955 แต่กลับพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ผิด ดังนั้นแทนที่เด็กๆ จะโทรไปถึงซานต้ากลับโทรไปถึงสายด่วนของหน่วยป้องกันทางอากาศคอนติเนนทัล (Continental Air Defense Command) หรือ CONAD สหรัฐฯ แทน ผู้อำนวยการในขณะนั้นจึงให้ลูกน้องใช้เรดาร์ติดตามเส้นทางของซานต้า แล้วรายงานผ่านโทรศัพท์แก่เด็กๆ ประเพณีนี้ได้ส่งต่อไปถึง NORAD ซึ่งเป็นหน่วยงานความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดา ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1958
ผู้เข้าชมเว็บไซต์ดังกล่าวยังเล่นเกม ฟังเพลงและชมวิดีโอตัวอย่างได้ และภายในเว็บไซต์ยังมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า เหตุใดซานตาคลอสจึงส่งของขวัญให้เด็กๆ ทั่วโลกได้ในคืนเดียว ด้วยหลักการ “ความต่อเนื่องของกาล-อวกาศ” (time-space continuum) ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้ปกครองและเด็กๆ ได้สนทนากันในเรื่องวิทยาศาสตร์ด้วย.
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)
โทร. 02-990-0331
http://www.apdi2002.com
http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ
สมาคมคนพิการ
2512522235
|