รวยยิ่งๆ ขึ้นไป
จากการพินิจพิจารณารายชื่อเศรษฐีระดับโลกอยู่หลายตลบ ก็พบว่า คนที่รวยอยู่แล้วนั้น นับวันก็ยิ่งจะรวยเข้าไปใหญ่ ส่วนคนที่จนก็มีแนวโน้มที่จะจนลงเรื่อยๆ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเกิดข้อกังขากับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีว่าจริงหรือ? ที่ "ทุกคนมีสิทธิในการแสวงหาทุนให้ตนเองเท่าเทียมกัน"
ครั้นลองหยิบข้อสงสัยนั้น ไปเอ่ยถามกับนักเศรษฐศาสตร์อย่าง ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้รับคำตอบว่า
“ระบบทุนนิยม มันมีปัจจัยที่ทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้น และอยู่ในสภาวะนั้นได้นานมากขึ้น”
ปัจจัยที่ว่านั้น มีอะไรบ้าง?
“อย่างแรกก็คือคนที่รวยกว่า เขามีกำลังในการที่จะไปลงทุนขยายการผลิตของตนเองได้เต็มที่กว่าคนที่มีน้อยกว่า ส่วนคนที่มีน้อยกว่านั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถหาทรัพยากรมาลงทุนได้ด้วยการก่อหนี้ก็ตามแต่มันก็มีต้นทุนสูงกว่า ถ้าเทียบกับการลงทุนของคนที่มีทุนมากอยู่แล้ว โดยระบบมันเอื้อให้คนที่มีมากได้ประโยชน์มากกว่า เข้าทำนองมือใครยาวสาวได้สาวเอา”
ส่วนประเด็นต่อมาก็คือ ในการจัดสรรผลประโยชน์นั้น ไม่ได้วนเวียนอยู่กับเรื่องของตลาดเสรีอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐด้วย
“ในการทำธุรกิจ มันมีเรื่องของใบอนุญาต ใบสัมปทานซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันมีผลประโยชน์อยู่ในนั้นสูงมาก ฉะนั้นคนที่ได้ประโยชน์จากตรงนี้ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูง ซึ่งคนที่เข้าถึงข้อได้เปรียบตรงนี้ ก็จะมี 2 พวก คือคนรวย และคนที่มีอำนาจหรือใกล้ชิดศูนย์อำนาจ
“ในสมัยก่อน ขนาดของธุรกิจมันยังไม่ใหญ่มาก แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเรื่องของธุรกิจระดับประเทศ ระดับโลกแล้ว ดังนั้นผลประโยชน์ที่ติดมากับใบอนุญาตจึงมีมากมายมหาศาล ในสมัยก่อนถ้าใครได้ใบอนุญาตทำธนาคารก็รวยระดับหนึ่งแล้ว แต่ในสมัยนี้ถ้าใครได้สัมปทานโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งมีผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่ามากไปก็ยิ่งรวยขึ้นไป”
มาถึงตรงนี้ก็เริ่มมองเห็นสาเหตุที่ว่า ทำไม? คนยิ่งรวยจึงยิ่งมีอำนาจ และยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งรวย ตรงกันข้ามกับคนจน ที่อาจจะเข้าสู่สภาวะ "จนดักดาน" ในที่สุด
“ส่วนข้อที่สามคือ ในโลกสมัยใหม่มันมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และส่งผลกับระบบทุนนิยมด้วย ตัวอย่างเช่น ในเรื่องของเทคโนโลยีชีวภาพ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์อเมริกาที่เป็นผู้คิดค้น มีรายได้ที่ดีมากขึ้น และมีโอกาสมากขึ้นตามมา
“สรุปแล้ว ทุนนิยมเสรีมันมีเฉพาะบางส่วน ถ้าส่วนไหนเกี่ยวข้องกับรัฐก็ไม่เสรีร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ในโลกนี้มันจึงเป็นการค้ากึ่งเสรีกึ่งผูกขาด”
และเมื่อถามท่าน ศ.ดร.ตีรณ ต่อไปว่า แท้แล้วระบบทุนนิยมมันทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้นจริงไหม ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า "จริง"
“โดยเฉลี่ยแล้วระบบทุนนิยมทำให้ช่องว่างรายได้ระหว่างกลุ่มคนสองกลุ่มมีมากขึ้น นั่นอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น แต่ก็ต้องดูกันอีกว่าขัดแย้งกันในลักษณะไหน ทุกวันนี้มันมีหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้มีแค่คนงานในโรงงานกับเจ้าของโรงงานเพียงเท่านั้น ในตอนนี้ คนงานกับนายทุนอาจจะสานประโยชน์กันก็ได้”
อดีตอภิมหาเศรษฐี..ที่ลืมไม่ลง
แต่ไม่ว่าเศรษฐีไทยและเศรษฐีโลกในการจัดอันดับของฟอร์บส์ จะมีใครอยู่บ้าง ก็คงไม่มีเศรษฐีคนไหน ที่ได้รับการกล่าวขานถึงจากคนในสังคมได้เทียบเท่ากับนักโทษหนีคดีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฟอร์บส์ เคยจัดอันดับให้เป็นมหาเศรษฐี อันดับที่ 16 ของไทย ในปี 2552 จากทั้งหมด 40 อันดับ
นอกจากนั้น นิตยสาร Who is Who in Business and Finance ก็ระบุผลตรวจสอบข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงมิถุนายน ปี 2537 ว่า ทักษิณถือหุ้นชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ หรือชินคอร์ป มูลค่า 19,485.35 ล้านบาท ส่วนคุณหญิงพจมาน ถือหุ้นชินคอร์ป มูลค่า 19,334.7 ล้านบาท ทำให้ทั้งคู่ติดโผคนรวยที่สุดในเมืองไทยอันดับที่ 2 และ 3 ตามลำดับในปีนั้น
คำนวณดูแล้วทั้งคู่มีหุ้นรวมกันมูลค่า 38,820.05 ล้านบาท ต่างจากตัวเลขที่กล่าวอ้างไว้ในปี 2537 ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า มีทรัพย์สินอยู่กว่า 60,000 ล้านบาท ด้วยเหตุฉะนี้เอง ทำให้ต่อมาเรื่องนี้กลายเป็นคดีซุกหุ้นที่ลือลั่นสนั่นปฐพี
และเมื่อเดือนกันยายน ปี 2549 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำรัฐประหาร ไม่เพียงส่งผลให้ทักษิณระหกระเหินไปอย่างไร้หลักแหล่ง เขายังถูกอายัดทรัพย์สินอย่างน้อย 1,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 48,640 ล้านบาท) อีกด้วย
อย่างไรก็ดี แม้อดีตนายกฯ จะถูกอายัดทรัพย์ หลังถูกรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 แต่ทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังคงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,200 ล้านบาท) ด้วยเหตุนี้ ในปี 2552 จึงยังได้รับการจัดอันดับจากฟอร์บส์ให้ร่ำรวยติดอันดับ 16 ของไทย
กระทั่งถูกยึดทรัพย์สินไปกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ทักษิณจึงถูกเขี่ยออกจากอันดับเศรษฐีโลกและเศรษฐีไทย
หนำซ้ำ จากการจัดอันดับ 48 มหาเศรษฐีใจบุญซึ่งช่วยเหลือสังคมด้านต่างๆ เช่น การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และศาสนา จาก 12 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของนิตยสารฟอร์บส์ ก็ไม่ปรากฏชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด
ซึ่งเป็นไปได้ว่า...ฟอร์บส์ คงไม่นับการโปรยเงินหนุนหลังให้การชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มประเทศ เป็นหนึ่งในสาธารณประโยชน์ที่ควรค่าแก่การชื่นชม
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)
โทร. 02-990-0331
http://www.apdi2002.com
http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ
สมาคมคนพิการ
2303530834
*********************
|