วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6911 ข่าวสดรายวัน
ความอยาก
คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.com
มนุษย์ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้ ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัยกล่าวคือ ตัณหา ดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ ตัณหาย่อมยังบุคคลให้เกิดได้" และนอกจากจะทำบุคคลให้เกิดขึ้นมาแล้ว ยังปกคลุมหุ้มห่อมนุษย์โลก ทำให้วุ่นวาย คิดประกอบกรรมทั้งดีและชั่ว
ตัณหา แปลว่า ความทะยานอยากดิ้นรน ทำบุคคลให้สะดุ้งหวั่นไหว ทำชั่วบ้าง ทำดีบ้าง คนที่มีทุกข์มากมาย ประสบแต่ความเดือดร้อน ก็เพราะตัณหานี้เอง มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ
1.กามตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากดิ้นรน ความยินดี ชอบใจ พอใจ และความปรารถนาในอารมณ์ทั้ง 6 คือ รูป เสียง เป็นต้น อันเป็นทั้งวัตถุกามและกิเลสกาม
2.ภวตัณหา หมายถึง ความอยากมีอยากเป็น คือ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อันเป็นเรื่องดีและชั่ว
3.วิภวตัณหา หมายถึง ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เพราะมองเห็นทุกข์โทษ
บรรดาตัณหาทั้ง 3 นั้น ภวตัณหา ความอยากมีอยากเป็น นับว่าเป็นตัวสำคัญ ทำให้เกิดกามตัณหาและวิภวตัณหา ก่อกรรมทั้งดีและชั่วไม่มีที่สิ้นสุด คนที่ถูกตัณหาเข้าควบ คุมครอบงำแล้ว เปรียบเสมือนคนตาบอด มองไม่เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่เป็นโทษ
แต่ถ้าอยากจะทำดี ทำประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์แก่ใคร นับได้ว่า เป็นความทะยานอยากในฝ่ายดี ไม่เรียกว่าตัณหา เรียกว่า ฉันทะ เช่น อยากจะทำตนให้เป็นประโยชน์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับความสุข พ้นจากความทุกข์ก็เป็นที่น่าสรรเสริญ ยกย่องบูชาได้
ในทางพระพุทธศาสนา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงเป็นสุเมธดาบสโพธิสัตว์ ได้พบพระทีปังกรพระพุทธเจ้า แล้วก็เลื่อมใสพอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า จึงปรารถนาอยากจะเป็นบ้าง ก็ริเริ่มประกอบกรรมดี มีบำเพ็ญทานบารมี เป็นต้น ในที่สุดก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สมความปรารถนาที่ตั้งไว้ อย่างนี้นับว่าเป็นฉันทะ ความอยากในทางดี
ถ้าเป็นตัณหา ความทะยานอยากในทางประกอบกรรมทำความชั่ว ก่อทุกข์ให้เกิดทั้งแก่ตนและคนอื่น ก็จัดเป็นตัณหาในทางชั่ว เช่น โลภอยากได้สมบัติสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยการคดโกงหลอกลวง และการประพฤติผิดในสามีภรรยาผู้อื่น เป็นต้น จัดเป็นตัณหาในทางชั่วที่ร้ายแรง บุคคลจะละหรือบรรเทาให้เบาบางลงได้ ก็ต้องใช้คุณธรรม กล่าวคือ ศีล สมาธิ และปัญญา
ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้ประพฤติประมาท ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดังนั้น ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาไม่ได้
บุคคลจะละตัณหาหรือบรรเทาตัณหาให้เบาบางจางลงไปได้ ก็ต้องพยายามรักษาศีล ฝึกสมาธิทำจิตใจให้สงบระงับและทำปัญญา ความรอบรู้ให้เข้าใจถูกต้องอย่างแท้จริง
ดังนั้น คนที่มีปัญญาดี ควรพยายามบรรเทาตัณหาที่มีอยู่ให้ลดน้อยลง แล้วประกอบแต่คุณงามความดี ก็ย่อมจะทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตนและคนอื่นได้ ถ้าแม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีคนเคารพบูชา ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีคนยกย่องสรรเสริญ
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ควรประมาทมัวเมา ให้รีบกระทำแต่ความดี ก็จะล่วงพ้นจากความทุกข์ มีแต่สุขความเจริญ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)
www.waddeeja.com
Tel.02-990-0331
3110521943
|