เรื่อง ให้รัฐบาลยกเลิกโครงการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ 5 สาย และเร่งสร้างระบบรถไฟรางคู่ และระบบรถไฟความเร็วสูง มาตรฐานรางกว้าง 1.435 เมตร โดยเร็วที่สุด
ตามที่รัฐบาลจะทำการทุ่มเทงบประมาณจากการกู้หนี้ยืมสิน ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง จำนวนวงเงินรวมทั้งหมด 1.43 ล้านล้านบาท เพื่อก่อสร้างถนนมอเตอร์-เวย์ จำนวนทั้งสิ้น 5 สาย เพื่อพัฒนาระบบขนส่งทางบกโดยเน้นถนนเป็นหลักต่อไป ได้แก่ ถนนสายบางปะอิน – โคราช , ถนนสายบางปะอิน – นครสวรรค์, ถนนสายกรุงเทพฯ – แม่กลอง, ถนนสายกรุงเทพฯ – กาญจนบุรี และถนนสายชลบุรี – มาบตาพุด โดยจะใช้วงเงินค่าก่อสร้างถนนรวม 5 สาย เป็นจำนวน 156,000 ล้านบาท นั้น
สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ได้ติดตามและศึกษาปัญหาการพัฒนาระบบการขนส่งทางบกของประเทศไทย ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลแล้ว มีข้อสรุป และข้อเท็จจริงที่จำเป็นต้องแถลงและเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย ให้กับพี่น้องประชาชนไทย ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเจ้าของภาษี ซึ่งมีหน้าที่และสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 87 ที่มีหน้าที่และสิทธิการมีส่วนร่วม ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น รวมทั้งการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และจัดทำบริการสาธารณะ ดังต่อไปนี้
1. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2434 ณ พื้นดินบริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้เสด็จมาเพื่อประกอบพระราชพิธีขุดดินทางรถไฟกระทำพระฤกษ์ และทรงมีพระราชดำรัส ไว้ดังนี้
“...เรามีความยินดีไม่น้อยเลย ที่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้ อันเป็นที่จะได้เริ่มลงมือก่อสร้างรถไฟ ซึ่งเราได้คิดอ่านจะทำให้สำเร็จมาช้านานแล้ว
เรารู้สึกสำนึกแน่อยู่ว่า ธรรมดาความเจริญ รุ่งเรือง ของประชาชนย่อมอาศัยถนน หนทาง ไปมากันเป็นใหญ่ เป็นสำคัญ เมื่อมีหนทาง คนจะไปมาได้ง่าย ได้ไกล ได้เร็วขึ้นเพียงใด ก็เป็นการขยายชุมชนให้ไพศาลยิ่งขึ้นเพียงนั้น”
เราจึงได้อุตสาห์คิดจะทำทางรถไฟ ให้สมกำลังบ้านเมือง ก็ได้คิด ทำทางรถไฟไปเมืองนครราชสีมานี้ก่อน...”
2. ต่อมาได้เปิดให้มีการเดินขบวนรถไฟไทยเป็นครั้งแรกจากกรุงเทพฯ(หัวลำโพง) – พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2439 และมาถึงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2443 ด้วยพระราชปณิธานของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้สถาปนากรมรถไฟขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน มิได้มุ่งหวังผลกำไร
3. พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ได้ทรงกำหนดยุทธศาสตร์การคมนาคมทางบกให้ใช้รถไฟเป็นหลัก มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2439 หรือ 114 ปีที่แล้ว เพื่อให้การคมนาคมทั่วประเทศเชื่อมโยงถึงกัน และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด อันจะทำให้ค่าเดินทาง ค่าขนส่งสินค้าต่าง ๆ ถูกลง และไม่เป็นภาระด้านพลังงาน แก่ประเทศในวันหน้า
แต่แล้วแทบทุกรัฐบาล หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ ปี พ.ศ. 2475 ได้ทำผิดใหญ่หลวง ในการกำหนดยุทธศาสตร์การคมนาคมทางบกที่กำหนดให้ใช้ถนน รถยนต์ เป็นหลัก จึงมีการขยายถนนมากขึ้นและทำให้ปริมาณรถยนต์มากขึ้น ประเทศจึงเพิ่มภาระอย่างไม่จำเป็น โดยมีรายจ่ายจากพลังงานที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศมากที่สุด คือ ปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท ในขณะที่คนไทยก็เป็นหนี้จากค่าผ่อนซื้อรถยนต์มากที่สุด
ปัจจุบันแนวโน้มราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กิจกรรมการขนส่งสินค้าของไทยร้อยละ 88 ใช้รถบรรทุก ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีต้นทุนการใช้พลังงานสูง ทำให้เป็นราคาต้นทุนกับภาคธุรกิจ และภาคการคลังกับภาครัฐ เกิดความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเร่งทบทวนรูปแบบการขนส่งที่พึ่งถนนเป็นหลักของประเทศโดยเร็วที่สุด
ลองนึกดูเถิด หากประเทศไทยพัฒนายุทธศาสตร์รถไฟตามแนวทางที่พระองค์ท่านได้ทรงวางไว้เมื่อ 114 ปีที่แล้ว บัดนี้ประเทศไทยก็จะมีรถไฟรางคู่ มาตรฐานสากล (รางกว้าง 1.435 เมตร) เชื่อมโยงทั่วราชอาณาจักรให้ทั่วถึงกันได้อย่างรวดเร็วกว่าปัจจุบันที่ต้อง พึ่งถนนเป็นหลัก ค่าใช้จ่ายพลังงานของประเทศก็จะไม่สูงเท่าที่เป็นอยู่ เพราะรถไฟใช้พลังงานน้อยกว่ารถยนต์ประมาณ 4 – 5 เท่า ประชาชนก็ไม่ต้องวิ่งไล่ซื้อรถยนต์มาใช้จนเป็นหนี้เป็นสินดังเช่นทุกวันนี้
4. ผลจากการที่แทบทุกรัฐบาลได้ลงทุนทำถนนเป็นหลัก ละทิ้งการพัฒนารถไฟ ด้วยการทุ่งงบประมาณพัฒนาถนนมากกว่าการจัดงบประมาณพัฒนารถไฟถึง 10 เท่าในแต่ละปี กล่าวคือ ตั้งงบประมาณให้ถนนปีละ 50,000 – 70,000 ล้านบาท ขณะที่รถไฟได้งบประมาณเพียง 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อปี เพียงเพราะนักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการบางคนที่ตกที่ดินจากที่ข้างถนนที่ก่อสร้างทำให้ร่ำรวยกันมาตลอด 50 – 60 ปี จึงเป็นผลให้ปัจจุบันนี้เรามีถนนทั่วประเทศคิดเป็นความยาว 200,000 กิโลเมตร เข้าถึงทั้ง 76 จังหวัดขณะที่มีทางรถไฟเพียงแค่ 4,440 กิโลเมตร เข้าถึงเพียง 47 จังหวัด เท่านั้น
รถไฟไทยเคยวิ่งได้ความเร็วถึง 90 กม./ ชม. ลดเหลือเพียงความเร็วเฉลี่ย 54 กม. / ชม. ในปัจจุบัน ในขณะที่รถยนต์วิ่งบนถนนไปได้ด้วยความเร็ว 100 – 120 กม. / ชม. แต่ก็ผลาญน้ำมันไปอย่างมากมาย
ขณะที่รถไฟญี่ปุ่น ซึ่งเปิดบริการพร้อมกับของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 วิ่งด้วยความเร็วถึง 300 – 400 กม. / ชม. ไปแล้วในปัจจุบัน
หลังสิ้นยุคสมัยของพระองค์ท่านเกือบร้อยปี เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่นำโดยเหมาเจ๋อตง ประกาศสถาปนาประเทศจีนใหม่แล้ว เหมาเจ๋อตงประกาศว่า “ การคมนาคมเป็นลักษณะชนชั้นเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนส่วนใหญ่ ต้องกำหนดให้รถไฟเป็นหลักของการคมนาคมทางบก เพื่อเชื่อมโยงมาตุภูมิทุกแห่งหน เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนทุกแห่งหนไปมาหาสู่กัน และทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนต่ำสุด
เหมาเจ๋อตง ประกาศแนวทางตรงกับพระราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ของเราและรัฐบาลจีนได้ยึดถือปฏิบัติเป็นผลให้ บัดนี้จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีเส้นทางรถไฟยาวมากที่สุดในโลก มีขบวนรถไฟมากที่สุดในโลก มีประเภทบริการของรถไฟมากที่สุดในโลก และได้พัฒนารถไฟถึงระยะที่ 7 แล้ว โดยกำหนดให้ความเร็วเฉลี่ยของรถไฟอยู่ที่ระดับ 250 กม. / ชม. ซึ่งกำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ ในขณะที่บางแห่งก็เริ่มนำร่องรถไฟความเร็วสูงถึงระดับความเร็ว 450 กม. / ชม.
ตลอดเส้นทางของรถไฟจีน มีคลังสินค้า สถานีถ่ายสินค้า ระบบขนถ่ายเฉพาะของรถไฟ โรงแรม ศูนย์การค้า และการบริการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสถานีรถไฟกำลังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์การพาณิชย์ใหญ่ของทุก ๆ เมือง เพื่อแสดงสินค้าของเมืองนั้นและเป็นแหล่งส่งออก และค้าขายสินค้าเมืองนั้น
5. ประเทศเวียดนาม ซึ่งคณะสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยพร้อมกับสื่อมวลชนไทย ได้ไปศึกษาดูงานการพัฒนารถไฟเวียดนามระหว่างวันที่ 11 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา พบว่า สภาพปัจจุบันรถไฟเวียดนามสภาพใกล้เคียงกับรถไฟไทย ระบบรางมีความกว้างเพียง 1.00 เมตร มีทั้งรถผู้โดยสารและรถสินค้า สภาพสถานีรถไฟก็ไม่ต่างจากของเรา แต่รถไฟเวียดนามกำลังจะเป็นวันพรุ่งนี้ของไทยเพราะรัฐบาลเวียดนามได้วางแผน แม่บทในการพัฒนารถไฟเวียดนามเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงปี พ.ศ. 2593 ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 1.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 40,000 – 50,000 ล้านบาททุกปี ด้วยเงินกู้จากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก เพื่อสร้างประเทศเวียดนามเป็นประเทศอุตสาหกรรมใน ปี พ.ศ. 2563 โดยจะพัฒนาเป็นระบบรถไฟรางคู่มาตรฐานสากล คือรางกว้าง 1.435 เมตร พร้อมด้วยระบบรถไฟความเร็วสูงด้วยความเร็ว 350 กม. / ชม.
ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีแผนแม่บทในระยะ 10 ปี 15 ปี หรือ 25 ปี ข้างหน้าจึงไม่มีทิศทางการพัฒนาแต่ประการใด มีเพียงแผนเร่งด่วนตามความคิดความเห็นของนักการเมืองเป็นรายวันเท่านั้น แล้วยังมีหน้าออกมาแถลงว่าจะลงทุนพัฒนารถไฟโดยใช้เงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท เพื่อทำรถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูง แต่ยังยืนยันจะทำรางรถไฟความกว้างเพียง 1 เมตร เหมือนปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างพากันพัฒนารถไฟเป็นรางรถไฟที่มีความกว้าง 1.435 เมตร หมดแล้ว
คำถามก็มีว่า ถ้าเราปล่อยให้มีการลงทุนพัฒนาถนนเป็นหลักและถ้าจะการลงทุนพัฒนารถไฟ ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลด้วยงบประมาณกว่าแสนล้าน ก็จะเป็นระบบรางรถไฟกว้างเพียง 1 เมตร ต่อไป ระบบรถไฟไทยจะเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านไทยได้อย่างไร เพราะระบบของเขาทุกประเทศเป็นระบบรางกว้าง 1.435 เมตร และที่รัฐบาลลงทุนงบประมาณกว่าแสนล้านไปแล้วจะมิต้องมารื้อทำใหม่ในอนาคตอัน ใกล้หรือ.
จากข้อสรุปและข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนไทย ร่วมกันเรียกร้องต่อรัฐบาลดังต่อไปนี้
1) ให้รัฐบาลทบทวนโดยหยุดโครงการก่อสร้างถนนมอเตอร์-เวย์ ทั้ง 5 สาย ในวงเงินงบประมาณกู้ประมาณ 156,000 ล้านบาท และโยกวงเงินดังกล่าวมาใช้เพื่อพัฒนาระบบรถไฟให้ทันสมัยเทียบสากลในทันที เพื่อจะได้ปรับโครงสร้างการขนส่งทางบกลดใช้ถนนเป็นหลักมาใช้ทางรถไฟเป็นหลัก แทน
2) ให้รัฐบาลเร่งรัดวางแผนแม่บทของการพัฒนาระบบการขนส่งทั้งหมด เพื่อลดต้นทุนการขนส่งจากระดับ 18 % ของ GDP ให้เหลือประมาณ 8 % ของ GDP ภายในระยะเวลาไม่เกิน 25 ปี เพื่อลดต้นทุนการขนส่งให้เหลือ 8% GDP หรือคิดเป็นวงเงินต้นทุนที่ลดลงได้ประมาณ 800,000 – 900,000 บาท/ปี และให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการพัฒนาระบบรถไฟไทยเป็นระบบรถไฟรางคู่ มาตรฐานสากล โดยมีรางกว้าง 1.435 เมตร และระบบรถไฟความเร็วสูงด้วยความเร็ว 250 กม. / ชม. ขึ้นไป โดยเริ่มที่ กรุงเทพฯ – โคราช, กรุงเทพฯ – นครสวรรค์, กรุงเทพฯ – หัวหิน, กรุงเทพฯ – กาญจนบุรี และกรุงเทพฯ – ระยอง เพื่อให้รัศมี 200 กม. จากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางถึงกันได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
3) เร่งวางแผนแม่บทรถไฟ ในระยะเวลา 25 ปี โดยสามารถจัดงบประมาณที่เคยใช้ก่อสร้างถนนปีละ 50,000 – 60,000 ล้านบาท มาพัฒนารถไฟไทยแทน ก็จะสามารถจัดระบบรถไฟให้ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประเทศไทยจะสามารถเป็นศูนย์กลางทางการขนส่งของอินโดจีน เชื่อมจีน อินเดีย มาเลเซีย ต่อไป
4) ตามแผนเร่งด่วนที่รัฐบาลแถลงในการพัฒนารถไฟขอให้ทบทวน หยุดการก่อสร้างรางคู่ ระบบรางกว้าง 1.00 เมตร ไว้ก่อน รอให้แผนแม่บทรถไฟเสร็จสมบูรณ์แล้วจึงกำหนดเป็นระยะ ๆ การก่อสร้างเหมือนรถไฟจีน เพื่อเปลี่ยนผ่านจากระบบรางกว้าง 1.00 เมตร เป็นระบบรางกว้าง 1.435 เมตร เพื่อมิต้องผลาญงบประมาณโดยมิจำเป็นอีกต่อไป
สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
12 มกราคม 2553
นาย / นาง / นางสาว .......................................................................................
บัตรประจำตัวประชาชนเลขที่ .......................................................................
ที่อยู่ปัจจุบัน...................................................................................................
…………………………………………………………………………….
เห็นด้วย.................. ไม่เห็นด้วย................
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)
โทร. 02-990-0331
http://www.apdi2002.com
http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ
สมาคมคนพิการ
1401531010
*********************
|