ReadyPlanet.com


ข้อเสนอแก้ปัญหาโลกร้อน...


ข้อเสนอแหวกแนวเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

7 เมษายน 2550 08:58 น.

ความวิตกเรื่องปัญหาโลกร้อนกระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดค้นหนทางแก้ไขแบบสุดแหวกแนว อาทิ การเทสารเจริตอล (Geritol) ลงสู่มหาสมุทร การสร้างฉากกันแดดนอกโลก การทดลองพ่นสารแบบภูเขาไฟระเบิดหรือแม้แต่การสร้างเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ถึงแม้นักวิจารณ์จะออกมาโต้เสียงดังว่าวิธีการเหล่านี้ "หลุดโลก" แต่ปรากฏว่าได้มีการทดลองใช้วิธีการดังกล่าวกันไปบ้างแล้ว  ปัจจุบัน บริษัทหลายแห่งให้เงินสนับสนุนภารกิจเทสารเจริตอลลงสู่มหาสมุทรอย่างเป็นล่ำเป็นสันเพื่อชดเชยการใช้ทรัพยากรน้ำมันเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษของตนเอง

สารเจริตอลนั้น คือ สารเหล็กที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของแพลงตอนเนื่องจากแพลงตอนต้องอาศัยสารดังกล่าวในการสังเคราะห์แสง ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างสาหร่ายทะเลที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย ถึงแม้การทดลองใช้สารเหล็กเพื่อลดก๊าซาร์บอนไดออกไซด์จะประสบความสำเร็จมาแล้วหลายครั้งหลายหนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แต่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลายคนก็ยังห่วงว่าหากมีการใช้สารเหล็กในปริมาณมาก ระบบนิเวศของมหาสมุทรอาจจะได้รับผลกระทบร้ายแรง  เฉพาะแค่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท "แพลงโตส อิงค์" จากรัฐแคลิฟอร์เนียได้เทผงเหล็กร่วม 50 ตันลงมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ

"ถ้าเราเทสารแบบนี้ลงไปมาก อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรกับใต้มหาสมุทรจะต้องต่างกันแน่ๆ แล้วสัตว์ทะเลก็จะเดือดร้อน" นายทิม บาร์เน็ตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศทางทะเลประจำสถาบันสมุทรศาสตร์สคริปป์ส แสดงความวิตก อย่างไรก็ตาม แพลงโตส อิงค์ ยืนยันว่า สารเหล็กที่เทลงสู่ทะเลนั้นน้อยนิดเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำของห้วงมหาสมุทร จึงเป็นหลักประกันได้ว่าสารเหล็กจะไม่ส่งผลเชิงลบต่อสิ่งมีชีวิตในห้วงสมุทร  "ที่สำคัญ เราคาดว่าเหล็ก 1 ตันที่ลงสู่ห้วงสมุทรจะช่วยกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปได้ 1 แสนตัน ทีเดียว" เจ้าหน้าที่ของบริษัทกล่าวอย่างมั่นใจ

ขณะเดียวกัน องค์การนาซา ทุ่มเงินจำนวน 7.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.44 ล้านบาท) เพื่อเติมเต็มรายละเอียดเกี่ยวกับแนวคิดการสร้างฉากกันแดดนอกโลก แนวคิดดังกล่าวมาจากนายโรเจอร์ แองเจิล นักดาราศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยอริโซนา ที่เชื่อว่าหากสร้างแผ่นกันแดดกางกั้นระหว่างดวงอาทิตย์และโลกได้ ปัญหาโลกร้อนก็จะคลี่คลายไปได้  "ผมคิดไว้ว่าฉากกันแดดดังกล่าวน่าจะลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ไปได้ราวร้อยละ 2" นักดาราศาสตร์รายนี้ย้ำ

นายแองเจิล มั่นใจว่า แนวคิดนี้มีความเป็นไปได้เพราะโลกมีวิทยาการเพียงพอที่จะจัดทำแผ่นกันแดดแล้วส่งแผ่นเหล่านี้ออกไปติดตั้งนอกโลกได้

หากต้องการสร้างฉากกันแดดนอกโลก นายแองเจิล ประเมินไว้ว่า จะต้องสร้างแผ่นกันแดดขนาด 1 ยาร์ดต่อแผ่นจำนวนทั้งสิ้น 16 ล้านล้านแผ่น  "จรวดแต่ละลูกน่าจะบรรจุได้ 8 แสนแผ่น ซึ่งหมายความว่าเราน่าจะต้องยิงจรวดประมาณ 20 ล้านครั้ง" นักดาราศาสตร์รายเดิม อธิบาย

นายแองเจิลชี้ว่าโครงการนี้อาจจะต้องใช้งบประมาณราว 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 130 ล้านล้านบาท) และใช้เวลาดำเนินการอย่างน้อย 30 ปี

"อย่าไปคิดว่าโครงการนี้ใหญ่เกินกว่าจะทำได้เพราะการที่เราส่งคนออกไปดาวอังคารก็ใช้งบใช้เวลาประมาณนี้แหละ ถ้าเราตระหนักถึงอันตรายของภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าโครงการสร้างฉากกันแดดนอกโลกจะได้รับการยอมรับ" นายแองเจิล กล่าวปิดท้าย

ด้านศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติอเมริกากำลังหันมาสนใจแนวคิดการสร้างฉากกันแดดนอกโลกด้วยเหมือนกันโดยมีแผนไว้ว่าจะเริ่มศึกษาแนวคิดดังกล่าวอย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ ทางศูนย์ได้ลองศึกษาการพ่นผงซัลเฟตสู่ชั้นบรรยากาศด้านบนมาแล้วเพราะเคยเห็นว่าผงดังกล่าวจากเหตุภูเขาไฟพินาตูโบระเบิดในฟิลิปปินส์เมื่อ 16 ปีก่อนช่วยให้อุณหภูมิโลกเย็นอยู่ได้นานถึง 1 ปีทีเดียวเนื่องจากผลซัลเฟตช่วยสะท้อนแสงแดดออกสู่นอกโลกไปบางส่วน

"เราสามารถใช้เครื่องพ่น ปืนใหญ่หรือบอลลูนส่งเอาซัลเฟตขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ เมื่อทำแล้ว โลกจะร้อนน้อยลงเพราะกั้นแสงอาทิตย์ไปได้บางส่วน แต่มลพิษในอากาศจะเพิ่มขึ้นไปเล็กน้อย ถ้าเราเลือกใช้วิธีนี้ เราก็ต้องชั่งใจว่าปัญหาโลกร้อนกับมลพิษทางอากาศนั้นอย่างไหนร้ายแรงกว่ากัน" นายทอม วิกลีย์ นักวิทยาศาสตร์ประจำศูนย์วิจัยชั้นบรรยากาศแห่งชาติอเมริกาให้ความเห็น

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อนร่วมงานอย่าง "นายคาสปาร์ อัมมานน์" ค้านหัวชนฝาว่าแนวคิดนี้สมควรทิ้งไปได้เลยเพราะหากจะให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนแสงมากในระดับเดียวกับที่ภูเขาไฟพินาตูโบทำได้ ผู้ลงมือปฏิบัติจะต้องพ่นสารซัลเฟตมากหลายหมื่นตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศต่อเดือน  "ผมคิดว่าถ้าวิธีการยุ่งยากขนาดนี้ ผมว่าน่าจะไปหาทางแก้ปัญหาโลกร้อนที่ต้นเหตุจะดีกว่า" นายอัมมานน์ แสดงความคิดเห็น อีกแนวคิดหลุดโลกว่าด้วยการแก้ปัญหาโลกร้อน คือ การสร้างเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากมันสมองของนายเคลาส์ แล็กเนอร์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เกือบสิบปีที่แล้ว นายแล็คเนอร์คิดค้นเครื่องดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นเพื่อช่วยลูกสาววัยเรียนทำสิ่งประดิษฐ์ไปจัดแสดงในนิทรรศการงานวิทยาศาสตร์  หลังจากโครงงานของลูกสาวประสบความสำเร็จ นายแล็คเนอร์เลยเกิดแนวคิดว่าเครื่องดังกล่าวอาจจะนำไปใช้แก้ปัญหาระดับโลกได้

มหา***อย่างนายริชาร์ด แบรนสัน ก็เห็นด้วยว่าเครื่องดักจับคาร์บอนไดออกไซด์อาจจะเป็นทางออกในการแก้ปัญหา จึงยินดีมอบเงินรางวัลถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 814 ล้านบาท) ให้แก่การพัฒนาแนวคิดดังกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายแล็คเนอร์ มั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์นี้จะดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยอมรับว่าการหาทางกำจัดก๊าซดังกล่าวจะมีต้นทุนมากสักหน่อย แต่ไม่ว่านักคิดหัวใสจะพูดว่าอย่างไร นักวิจารณ์บางส่วนยังเห็นว่าการแก้ปัญหาทางธรรมชาติไม่ควรจะใช้วิธีการแบบสุดขั้วอย่างนี้

"ผมมองว่านี่เป็นการกระทำที่เกิดจากความสิ้นหวัง เกิดจากความเชื่อของคนบางคนว่าโลกไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง" นายสตีเฟน ชไนเดอร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าว

 

เรียบเรียงโดย อุริสรา โกวิทย์ดำรงค์

แหล่งข้อมูล เอพี

 

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeela.com

Tel. 0-2990-0331



ผู้ตั้งกระทู้ พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ :: วันที่ลงประกาศ 2007-04-08 12:29:17 IP : 124.121.137.35


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (931024)

เอลนีโญส่งปรากฏการณ์ทะเลไทย

น้ำเย็นลงมีตะ กอนขุ่นทำให้คัน

 

นักวิชาการชี้ปรากฏการณ์เอลนีโญจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้ธรรมชาติใต้ท้องทะเลอันดามันเปลี่ยนแปลง น้ำทะเลเป็นน้ำเย็นมีตะกอนขุ่น เผยนักท่องเที่ยวเริ่มย้ายจุดดำน้ำลึกจากอันดามันใต้ไปเหนือ เพราะดำน้ำแล้วมีอาการคันตามผิวหนังและปะการังอ่อนที่สวยงามเริ่มเหี่ยวเฉา

 

ดร.ธรณ์ ธำรงค์นาวาสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า จากภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นทำให้เกิดหลายปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวกับทะเลโดยตรงคือปรากฏการณ์เอลนีโญในเมืองไทยได้รับผลกระทบหลายครั้ง ที่ชัดเจนคือ 10 ปีที่ผ่านมา น้ำทะเลอันดามันเย็นลง ในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน และเกิดน้ำร้อนในอ่าวไทยในเดือนพฤษภาคม-กันยายน และปี 2550 นี้ ลักษณะคล้ายคลึงกัน คือในอันดามันน้ำเย็น มาจากน้ำที่อยู่ในทะเลลึกเคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ใกล้ฝั่ง ซึ่งน้ำนอกจากเย็นแล้วยังขุ่นมีตะกอนจากทะเลลึก ซึ่งเดิมไม่เคยเข้ามาในเขตตื้น แต่มากับมวลน้ำเย็น และตะกอนนี้มีธาตุอาหารจำนวนมาก ทำให้แพลงก์ตอนที่อยู่ในเขตน้ำตื้นเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยวที่ไปว่ายน้ำหรือดำน้ำจะรู้สึกว่า น้ำเย็น น้ำขุ่นและคันยิบๆ เพราะแพลงก์ตอนบางตัวซึ่งมีพิษแต่ไม่อันตรายถึงชีวิตแต่ทำให้คัน นอกจากนี้ แพลงก์ตอนทำให้มีสัตว์น้ำขนาดใหญ่และสัตว์น้ำแปลกๆตามเข้ามา เช่น กระเบนราหู.

 

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-04-29 07:03:16 IP : 124.121.135.82


ความคิดเห็นที่ 2 (980620)

ดันผู้นำศาสนาสอน"โลกร้อน"


เมื่อวันที่ 29 พ.ค.50  นางมณทิพย์ ศรีรัตนา ทาบูกานอน อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 5 มิ.ย.ของทุกปี ถือว่าเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ทั่วโลกจะได้จัดงานรณรงค์ให้ทุกคนเห็นความสำคัญในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในปีนี้ทุกประเทศกำลังตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยจะได้จัดงาน "วันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2550" ขึ้นเช่นกัน โดยปีนี้รณรงค์ในหัวข้อ "หยุดโลกร้อนด้วยชีวิตพอเพียง" ซึ่งจะมีการจัดงานในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ที่ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงาน

นางมณทิพย์ กล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ยังมีแนวความคิดให้พระสงฆ์ หรือผู้นำศาสนาเป็นผู้เผยแพร่ความรู้เรื่องโลกร้อน และการปฏิบัติตัวเพื่อช่วยลดปัญหาโลกร้อนกับประชาชนน่าจะได้ผลมากที่สุด เพราะผู้นำศาสนาทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็น ศาสนาพุทธ อิสลาม หรือ ศาสนาคริสต์ มักจะได้รับความเชื่อถือ และเป็นศูนย์รวมของชุมชน และประชาชนในพื้นที่อยู่แล้ว และการให้ความรู้เรื่องโลกร้อนผ่านการสอน หรือการเทศนา ให้ประชาชนฟังโดยสอดแทรกความรู้ต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ แบบง่ายๆ เข้าใจง่ายจะทำให้ความรู้เข้าถึงประชาชนได้เป็นอย่างดี

          http://www.apdi2002.com/

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-05-31 11:34:56 IP : 124.121.138.124


ความคิดเห็นที่ 3 (986519)
จีนคลอดแผนต้านโลกร้อนจี้ประเทศร่ำรวยเป็นหัวหอกในการแก้ปัญหา
4 มิถุนายน 2550 23:19 น.

ปักกิ่ง-จีนประกาศยุทธศาสตร์แก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ด้านญี่ปุ่นเตรียมควักกระเป๋าช่วยประเทศยากจนแก้ปัญหา

ทางการจีนได้กำหนดยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์ (4 มิ.ย.) มีใจความสำคัญว่า จะควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวการทำให้โลกร้อน แต่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายหรือระยะเวลาที่ชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซชนิดนี้ ทั้งยังยืนกรานให้ประเทศร่ำรวยแสดงความรับผิดชอบ และเป็นหัวหอกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย

 แผนยุทธศาสตร์หนา 62 หน้าฉบับนี้ระบุว่า จีนมีศักยภาพที่จำกัดในการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ เนื่องมาจากจีนเป็นประเทศกำลังพัฒนา แถมยังมีประชากรมหาศาล และมีสัดส่วนการใช้พลังงานถ่านหินที่สูง พร้อมกล่าวว่า สิ่งที่ต้องกังวลเป็นอันดับแรกสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน ก็คือ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการขจัดปัญหาความยากจน ดังนั้น ประเทศที่พัฒนาแล้วควรจะเข้ามาเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับสภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และผลกระทบที่จะตามมา

 ยุทธศาสตร์ครั้งนี้เป็นการรวบรวมเอานโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีวัตถุประสงค์ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ที่ทางการจีนประกาศไปก่อนหน้านี้มาไว้ด้วยกัน ซึ่งประเด็นสำคัญๆ ได้แก่ การรับปากว่าจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเป็น 20% ภายในปี 2553 ขณะที่สัดส่วนของพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มเป็น 10% ของพลังงานที่ใช้อยู่ทั้งหมดจากระดับ 7% ในปัจจุบัน ซึ่งการประกาศยุทธศาสตร์ครั้งนี้ มีขึ้น 2 วันก่อนที่ประธานาธิบดีหู จินเถา จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมสุดยอดจี 8 ที่เยอรมนี ซึ่งจะมีการถกเรื่องภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นสำคัญ

 วันเดียวกัน สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ทางการจีนออกมาตรการควบคุมการใช้เครื่องปรับอากาศตามอาคารสาธารณะต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานที่คาดว่าจะทวีขึ้นในช่วงหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง โดยออกข้อห้ามปรับอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 26 องศาเซลเซียส ในหน้าร้อน ส่วนในหน้าหนาวอุณหภูมิสูงสุดในสำนักงานกำหนดไว้ที่ 20 องศาเซลเซียส

 ด้านสำนักข่าวดีพีเอ รายงานอ้างคำเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ทางการญี่ปุ่นว่า ในการประชุมสุดยอดจี 8 ที่เยอรมนี รัฐบาลโตเกียวมีแผนจะเสนอความช่วยเหลืองวดใหม่ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อกระตุ้นให้หันมาแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจังมากขึ้น อาทิ การนำเสนอระบบขนส่งมวลชนเพื่อแก้ปัญหาการจราจรตามเมืองใหญ่ๆ ที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เรื่อยไปถึงการติดตั้งถังขยะ และระบบจัดการมูลสัตว์ เพื่อนำไปผ่านกระบวนการทำเป็นปุ๋ยหรือพลังงานต่อไป

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-06-05 07:28:24 IP : 124.121.136.65


ความคิดเห็นที่ 4 (986758)

จีนสู้โลกร้อน-อินโดฯที่3 ทำลายอากาศ



เมื่อ 4 มิ.ย. เอพีรายงานว่า รัฐบาลจีนเปิดแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความยาว 62 หน้า หลังจากจีนถูกเพ่งเล็งว่าจะเป็นชาติที่ปล่อยก๊าซก่อภาวะโลกร้อนอันดับ 1 ของโลก แซงสหรัฐอเมริกาภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะเป็นประเด็นใหญ่ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือจี 8 ในสัปดาห์นี้

แผนรับมือของจีนกำหนดเป้าหมายลดการใช้พลังงานให้ได้ 1 ใน 5 ก่อนถึงปีค.ศ.2010 และเพิ่มการผลิตพลังงานทดแทน เช่น พลังลม พลังน้ำ อย่างไรก็ตามจีนยังย้ำว่า ชาติตะวันตกต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เพราะเป็นฝ่ายที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมานานในศตวรรษที่ผ่านมา สำหรับจีนแม้จะไม่มีข้อกำหนดชัดเจนเรื่องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจีนจะไม่รับผิดชอบใดๆ จีนจะสนองความต้องการปกป้องสิ่งแวดล้อม

วันเดียวกัน ธนาคารโลกเผยแพร่รายงานเรื่อง "อินโดนีเซียกับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง : สภาวะปัจจุบันและนโยบายแก้ไข" ระบุว่า อินโดนีเซียเป็นชาติที่มีอัตราปล่อยก๊าซทำลายชั้นบรรยากาศเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐและจีน ส่วนใหญ่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าและเหตุไฟไหม้ป่า สภาพอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นในอนาคตจะส่งผลกระทบทำให้อินโดนีเซียเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรง

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-06-05 11:24:38 IP : 124.121.136.65


ความคิดเห็นที่ 5 (999575)

ประชุมจี-8ลดท่าทีผ่าทางตัน"โลกร้อน" ผนึกยูเอ็นคลอดพิธีสารใหม่ภายใน2ปี

สุดยอดผู้นำชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือ จี 8 ถอยคนละก้าว อุ้มวาระ "โลกร้อน" จบสวยงาม ประกาศเดินหน้าผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลงอย่างน้อย 50% แต่บิ๊กมหาอำนาจเศรษฐกิจยังปิดปากเงียบ โดยไม่ระบุชัดเป็นตัวเลขมลพิษที่จะลดว่า เป็นปริมาณลงเท่าใดแน่ พร้อมประกาศผนึกยูเอ็น เร่งดันพิธีสารฉบับใหม่แทน "เกียวโต" แล้วเสร็จภายใน 2 ปี

การประชุมสุดยอดผู้นำชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 8 ประเทศ หรือ จี-8 ปิดฉากลงด้วยข้อเสนอลดการปล่อยก๊าซก่อภาวะเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน โดยเห็นพ้องที่จะลดมลพิษคาร์บอนออกไซด์ทั่วโลกลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ภายในปี 2593 และเห็นพ้องที่จะร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เพื่อหาข้อสรุปในการจัดทำพิธีสารฉบับใหม่ในการแก้ปัญหาภาวะอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นให้ได้ ภายในปี 2552 เพื่อนำมาปรับใช้แทนพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal)

เป็นที่น่าสังเกตว่า ความตกลงของกลุ่มจี-8 ออกมาในลักษณะที่ค่อนข้างประนีประนอม เห็นได้จากแม้ทุกฝ่ายเห็นพ้องที่จะลดก๊าซก่อภาวะเรือนกระจก แต่กลับไม่ระบุเจาะจงเป็นตัวเลขว่า จะลดลงในปริมาณที่เท่าใด โดยใช้ถ้อยคำเพียงว่า จะลดลง "จำนวนมาก" (substantial) เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นางอังเกลา เมอร์เกล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวถึงข้อสรุปในส่วนของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนว่า เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง โดยระบุว่า ถึงแม้ความตกลงครั้งนี้จะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เธอเชื่อมั่นว่า จะไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงต่อปฏิญญานี้ไปได้

"
พวกเราเห็นพ้องที่จะต้องหยุดแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก่อน จากนั้นตามด้วยการลดก๊าซดังกล่าวลงอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังในภายหลัง" นายกรัฐมนตรีเมอร์เกลกล่าว

นอกเหนือจากการลดก๊าซก่อภาวะเรือนกระจก บรรดาผู้นำจี-8 บางรายได้เห็นพ้องที่จะผลักดันให้เกิดการหารือเกี่ยวกับการจัดทำพิธีสารฉบับใหม่ ขึ้นมาแทนที่พิธีสารเกียวโตให้บรรลุตามกรอบเวลาของสหประชาชาติ

ปฏิกิริยาของกลุ่มจี-8 ต่อปัญหาโลกร้อนที่ถือเป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ การรับรองผลสรุปการศึกษาสภาพการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกของยูเอ็น ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติ จำนวน 2,500 คนจากทั่วโลก โดยเฉพาะตัวประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ ซึ่งมีท่าทีลังเลเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะยอมรับผลวิจัยและหลักฐานของยูเอ็น

รายงานของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ ซึ่งนำ เสนอและเผยแพร่ระหว่างการประชุมจี-8 พบว่า อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผลพวงมาจากกิจกรรมของมนุษย์ และมีเพียงการจำกัดการแพร่กระจายของมลพิษคาร์บอนได ออกไซด์เท่านั้น ที่จะช่วยหยุดปัญหาโลกร้อนไม่ให้รุนแรงมากขึ้นไปอีก โดยต้องจำกัดไม่ให้การอุ่นขึ้นของอุณหภูมิโลกเกิน 1.5-2.5 องศาเซลเซียส

ภายใต้ปฏิญญาฉบับนี้จะมีผลผูกพันให้ประเทศที่สร้างมลพิษมากที่สุดในโลก รวมถึงสหรัฐต้องร่วมมือใกล้ชิดกับประเทศอื่นๆ ในการดำเนินความพยายามเพื่อลดการปล่อยก๊าซก่อภาวะเรือนกระจก แต่ก็เป็นข้อผูกพันแบบหลวมๆ เนื่องจากไม่ได้กำหนดชัดเจนลงไปว่า ชาติอุตสาหกรรมทั้ง 8 ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และรัสเซีย ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมาย อย่างที่นางอังเกลา เมอร์เกล นายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนี ที่เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดจี 8 ในครั้งนี้ต้องการ

ในส่วนท่าทีของสหรัฐ ประธานาธิบดีบุชไม่ยอมลงนามกำหนดเป้าหมายที่เป็นตัวเลขในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยขอให้ประเทศใหญ่อย่างอินเดียและจีนยอมกำหนดตัวเลขการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

สำหรับทรรศนะของนักวิจารณ์ต่อผลประชุม จี-8 ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลประชุมจี-8 ยังไม่มีถ้อยคำที่ให้ความชัดเจนมากเพียงพอ และไม่มีผลต่อข้อเรียกร้องในการหยุดยั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกมากนัก

ในประเด็นอื่นๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก ที่ประชุมผู้นำจี-8 เห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้มีการปรับลดความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งระบุถึงภาวะเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ว่า อยู่ในระดับที่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินยุทธศาสตร์ร่วมของกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายเห็นพ้องที่จะดำเนินความพยายามในการปรับลดปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกต่อไป โดยเฉพาะในด้านอุปสงค์

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-06-13 16:14:43 IP : 124.121.139.240


ความคิดเห็นที่ 6 (1028417)

วิกฤติโลกร้อนใกล้ตัว เรื่องจริงที่คนไทยต้องรู้

 

         สภาวะโลกร้อนส่งผลให้น้ำทะเลมีปริมาณเพิ่มขึ้น น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือและทวีปแอนตาร์กติกาได้ละลายลงสู่มหาสมุทรอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีรายงานว่าน้ำแข็งขั้วโลก 3 ก้อน หรือน้ำแข็งหมื่นปี ก้อนแรกที่กรีนแลนด์ เริ่มละลายในอัตราที่เร็วมากขึ้นกว่าเดิม คาดกันว่าหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 องศา น้ำแข็งก้อนนี้ละลายจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นจากเดิม 5.5 เมตร
 
ส่วนก้อนที่ ในแอนตาร์กติกตะวันตก เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พบน้ำแข็งแผ่นใหญ่แตกหักออกเป็นชิ้นใหญ่ๆ ขนาดเท่ามลรัฐแคลิฟอร์เนีย หากน้ำแข็งก้อนนี้ละลายจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 5 เมตร ส่วนก้อนที่ 3ในแอนตาร์กติกาตะวันออก พบว่าน้ำน้ำแข็งก้อนเล็กลงอย่างมาก เชื่อว่าหากน้ำแข็ง 3 ก้อนละลายหมด จะทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้นหลายพันลูกบาศก์กิโลเมตร
 
นอกจากนี้ยังมีการประเมินสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของธนาคารโลกในรอบปี 2549 ที่ผ่านมา พบว่าปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งยังเป็นปัญหาลำดับแรกๆของสิ่งแวดล้อมทางทะเล เฉลี่ยจะอยู่ที่ 2 ตารางกิโลเมตรต่อปี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 6,000 ล้านบาท
 
ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปัญหากัดเซาะชายฝั่งทวีความรุนแรงมากขึ้น บวกกับการเข้าไปทำลายป่าชายเลนเพื่อแปลงสภาพเป็นนากุ้ง ป่าชายเลนที่ทำหน้าที่เสมือนกำแพงกันคลื่นหายไป รวมถึงปัญหาแผ่นดินทรุดจากใช้น้ำบาดาล ตะกอนที่มาจากน้ำไหลลงสู่ทะเลสามารถทำให้แผ่นดินงอกได้หายไป เพราะการสร้างเขื่อน
 
หน่วยงาน JICA (2000) พบว่าการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่บริเวณต้นน้ำของลุ่มน้ำเข้าพระยา โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งสร้างในปีพ.ศ.2508 และ 2515 ทำให้ปริมาณตะกอนในแม่น้ำเจ้าพระยาลดลง จากปริมาณตะกอนจาก 25 ล้านตันต่อปี ก่อนการสร้างเขื่อน เหลือเพียง 6.6 ล้านตันต่อปีหลังการสร้างเขื่อน 
     
ผลการศึกษาการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งในโครงการวิจัยแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลมาเป็นเวลา  10 ปี ของรศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ภาควิชา ธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ถูกกัดเซาะหายไปเป็นบริเวณกว้าง ชั่วเวลา 30 ปีพื้นที่ประเทศไทยหายไปกว่า แสนไร่ 
 
โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนขุนสมุทรจีน  ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ  แผ่นดินชายฝั่งทะเลหลายลึกเข้าไปประมาณ 1.3 กิโลเมตร เฉลี่ยปีละ 25 เมตรและอีก 100 ปีข้างหน้าจะหายลึกเข้าไปเกือบ 8.5 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตามจ.สมุทรปราการมีแนวชายฝั่งทะเลยาวทั้งสิ้น 45 กิโลเมตร มีปัญหากัดเซาะชายฝั่งรุนแรงสุดในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา พื้นดินถูกกัดเซาะจมน้ำหายไป 11,104 ไร่ ถ้าไม่มีการจัดการใดๆอีก 20 ปีข้างหน้า แผ่นดินจะจมน้ำอีก 3 หมื่นกว่าไร่
 
ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เห็นภาพชัดเจน บริเวณหลักเขตชายทะเลบางขุนเทียน หลักเขตที่แบ่งแยกจ.สมุทรสาครกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งบัดนี้ได้จมน้ำไปแล้ว แผ่นดินหายไป
 
ทุกวันนี้เรารู้สึกได้ว่าสภาพอากาศแปรปรวน ขณะที่คนในกรุงเทพมหานครแลปริมณฑทล เห็นฝนฟ้าตกมาตลอดทั้งในและนอกฤดูฝน จนปริมาณน้ำฝนมากจนทำให้น้ำท่วม แต่ในบางภูมิภาคเช่นภาคอีสานต้องการน้ำ กลับไม่มีฝนตก
 
แผ่นดินแห้งแล้ง เมื่อออีตทุ่งกุลาร้องไห้ปัจจุบันถือเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิดีที่สุดในโลก  มีพื้นที่ 1,276,000 ไร่ ครอบคลุมในพี้นที่ 5 จังหวัดคือร้อยเอ็ด มหาสารคาม สุรินทร์ ยโสธร ศรีษะเกษ
 
จากข้อสันนิษฐาน ของวิเชียร เกิดสุข นักวิชาการจากสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่มีต่อวิถีชีวิตชาวนาทุ่งกุลาร้องไห้  พบว่าเมื่อวิเคราะห์สถิติของสถานีตรวจสอบอากาศพบว่าตั้งแต่ปี 2547 ปริมาณน้ำฝนของทุกสถานีมีปริมาณต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา บางพื้นที่ไม่มีฝนเลย ทั้งๆที่ในอดีตฝนจะตกล่วงมาถึงช่วงเกี่ยวข้าว บางปีระหว่างกำลังเก็บเกี่ยวข้าวฝนยังถล่มลงมาด้วย
 
นานาประเทศตื่นตัวกับสภาวะโลกร้อน ขณะที่บ้านเรากองทัพบกร่วมกับบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)  จัดกิจกรรมคุ้มครองโลก ในวันเสาร์ที่ 7 ก.ค.นี้ เวลา 20.15-23.15 น. นำเสนอรายการพิเศษ “โลกสวยด้วยมือเรา โลกร้อน แก้ไขได้” ผลิตเป็นรายงานโทรทัศน์ประเภทวาไรตี้ ทอล์คโชว์ ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และสถานีวิทยุเครือข่ายกองทัพบกว่า 100 สถานี
 
เนื้อหารายการจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม มาบอกเล่าเรื่องราว และผลวิจัย และยังภาพจริงของเหตุการณ์ที่เกิดผลกระทบแล้วในบ้านเรา ทั้งชุมชนขุนสมทุรจีน ทุ่งกุลาร้องไห้ และหลักเขตบริเวณชายทะเลบางขุนเทียน
 
วิกฤติโลกร้อนขยับใกล้เข้าถึงคนไทยแล้ว ความจริงที่ต้องรู้และยอมรับเพื่อจะปรับตัวรับสภาพที่เปลี่ยนไป***!
 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

หวัดดีจ้า.

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-01 10:44:25 IP : 124.121.139.25


ความคิดเห็นที่ 7 (3213145)
womens ugg boots womens ugg boots discount ugg boots discount ugg boots mens leather slippers mens leather slippers boots boots
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (izlvxr-at-126-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-21 21:48:21 IP : 125.118.233.198



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 802/410 หมู่12 หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร : 02-990-0331 Copyright © 2010 All Rights Reserved.