หน้าหลัก | สมาคมคนพิการ ฯ (ส.พ.ค.) | โครงการ ปี2567 | รวมภาพกิจกรรม | คุณถาม-เราตอบ | ติดต่อเรา |
โลกร้อน......เป็นผลดีกับหลายประเทศ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พบโลกร้อนเป็นผลดีกับหลายประเทศ เกาะแฟโร-พบหลักฐานใหม่ชี้มีหลายประเทศได้รับประโยชน์จากภาวะโลกร้อน แทนที่จะมีแต่หายภัยเพียงอย่างเดียว สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ว่า ภาวะโลกร้อนไม่ได้ก่อให้เกิดหายนภัยตามมาเพียงอย่างเดียว แต่จะมีผู้ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้อยู่เช่นกัน อาทิ ประเทศในแถบซีกโลกเหนือ ที่สามารถประหยัดพลังงานจากการทำความร้อนได้มากขึ้น คนในรัฐทางเหนือของสหรัฐไม่ต้องหนีหนาวไปรัฐทางใต้อีกต่อไป นักเดินเรือสามารถใช้เส้นทางลัดไปขั้วโลกเหนือได้เพราะน้ำแข็งละลาย ในขณะที่พื้นที่ป่าไม้ในโลกอาจขยายตัวขึ้น นายโรเบิร์ต โอ แมนเดลซอห์น จากคณะป่าไม้และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเยล ในสหรัฐ ได้ศึกษาพบว่า แคนาดา รัสเซีย ยุโรปเหนือ และมองโกเลีย มีแนวโน้มว่าจะได้รับประโยชน์จากภาวะโลกร้อนมากที่สุด นั่นเป็นเพราะประเทศเหล่านี้จะได้รับผลผลิตทางการเกษตรมากขึ้น โดยนักวิจัยจำนวนมากเชื่อว่า หากโลกอุ่นขึ้นพื้นที่เพาะปลูกก็จะเคลื่อนขึ้นมาทางขั้วโลกเหนือมากขึ้น นายแมนเดลซอห์น กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิ่งเลวร้ายอันเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้ แต่ประโยชน์ที่จะได้รับ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรนั้น จะมากกว่าความสูญเสียที่จะได้รับ ขณะที่ นายริชาร์ด โทล จากสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์และสังคม ในไอร์แลนด์ ได้จัดทำรายชื่อผู้ได้รับประโยชน์จากภาวะโลกร้อน พบว่า แคนาดาได้ครองแชมป์ โดยจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 220% ในช่วงสิ้นศตวรรษ ตามด้วยรัสเซียที่เพิ่มขึ้น 174% และมองโกเลีย 122% ด้านนายโบกี้ แฮนเซน นักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศบริเวณหมู่เกาะแฟโร ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกได้ค้นพบหลักฐานที่สวนทางกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีทอ่อนแรงลง และอาจทำให้ทวีปยุโรปเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง โดยนายแฮนเซนพบว่า กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์ สตรีมไม่ได้ไหลช้าลง และถึงจะไหลช้าลงก็จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนในแถบยุโรปทางเหนือ มากกว่าจะก่อให้เกิดผลลบอย่างที่คิดกันก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ กัลฟ์สตรีทจะนำพาน้ำอุ่นจากบริเวณเส้นศูนย์สูตรมายังเขตขั้วโลก ทำให้ประเทศแถบนั้นมีอุณหภูมิไม่หนาวเย็นมากนัก ทั้งที่ตั้งอยู่ทางแถบซีกโลกเหนือ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การที่น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือละลายจะทำให้กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมไหลช้าลง และส่งผลให้ทวีปยุโรปเข้าสู่ยุคน้ำแข็งครั้งใหม่ เตือนโลกร้อนอาจทำให้ฮ่องกง ไม่มีฤดูหนาวไปอีก 50 ปีข้างหน้า ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศเตือนในวันนี้ว่า ฤดูหนาวของฮ่องกงอาจกลายเป็นอดีตในอีก 50 ปี เนื่องจากภาวะโลกร้อน และความเป็นชุมชนเมือง ผู้อำนวยหอสังเกตุการณ์ฮ่องกง นาย ลัม ชุย-หยิง บอกว่าจากการคาดคะเนชี้ให้เห็นว่า ก่อนถึงสิ้นศตวรรษนี้ ในฤดูหนาวแต่ละปีของฮ่องกง อาจมีวันที่มีอากาศเย็นเหลืออยู่ไม่ถึงวัน จากเดิมในช่วงระหว่างปี 2504 -2533 ฤดูหนาวฮ่องกงซึ่งอยู่ระหว่างเดือนธันวาคมถึงมีนาคมของทุกปี จะมีวันที่อุณหภูมิต่ำกว่า 12 องศาเซลเซียส เฉลี่ย 21 วัน โดยในระหว่างปี 2533-2543 จำนวนวันในฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 12 องศาลดลงครึ่งหนึ่งและในช่วงศตวรรษที่แล้ว อุณหภูมิในฮ่องกงเพิ่มขึ้น 1.2 องศาหรือมากเกือบสองเท่าของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยของโลก ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในเดือนนี้ ชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนของฮ่องกงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.02 องศาทุกปี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญผู้เขียนรายงานฉบับนี้ระบุว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิในฮ่องกงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ก็เนื่องมาจากคอนกรีตที่ใช้ก่อสร้างตึกระฟ้าดูดความร้อนไว้ในตอนกลางวันและปล่อยออกมาในตอนกลางคืน ส่อง***-คอนเสิร์ตกู้โลกร้อน เอ็มเอสเอ็น พันธมิตรสื่อออนไลน์เพียงหนึ่งเดียวของการแสดงคอนเสิร์ต ไลฟ์เอิร์ธ เปิดตัว***ไซต์ http://liveearth.th.msn.com โฉมใหม่ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลและรูปภาพ เกี่ยวกับวิกฤติภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นที่มาของการจัดคอนเสิร์ตไลฟ์เอิร์ธ รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับคอนเสิร์ต ที่จะจัดขึ้นทั่วโลกในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ คอนเสิร์ตครั้งนี้เปิดกว้างให้คุณรับชมได้ทาง***นี้ โดยสามารถชมภาพการแสดงจากเวทีทั่วทุกมุมโลก ทั้งยังสามารถดาวน์โหลดวอลล์เปเปอร์ ที่เป็นธีมของไลฟ์เอิร์ธ รวมทั้งคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ไปปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทำให้คุณร่วมเป็นส่วนหนึ่งในสังคมออนไลน์ของชาวไลฟ์เอิร์ธได้อีกด้วย หลังจากนี้ในสัปดาห์ต่อๆ ไป ***จะติดตั้งโปรแกรมเล่นภาพวิดีโอ ที่ออกแบบมาสำหรับคอนเสิร์ตไลฟ์เอิร์ธโดยเฉพาะ ส่วนผู้ที่สนใจปัญหาภาวะโลกร้อน สามารถเพิ่มพูนความรู้จากข้อมูลในหลากหลายรูปแบบทั้งรูปภาพ บทความ ตลอดจนวิดีโอมากมาย ซึ่งครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น ยานยนต์ วิถีชีวิต การดัดแปลงที่อยู่อาศัย การลงทุนและหัวข้ออื่นๆ ตลอดจนวิธีรับมือภาวะวิกฤติโลกร้อน ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ แนะนำ***ไซต์ได้ที่ science@nationgroup.com ผวาปัญหาโลกร้อนหลังจีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกแซงสหรัฐฯ ผวาปัญหาโลกร้อนหลังจีนกลายเป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก แซงหน้าแชมป์เก่าหลายสมัยอย่างสหรัฐ เร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ (20มิย.) สำนักงานประเมินด้านสิ่งแวดล้อมของเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยตัวเลขล่าสุดเมื่อวานนี้ พบว่าเมื่อปีที่แล้ว จีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 6,200 ล้านตัน เทียบกับ 5,800 ล้านตันที่สหรัฐปล่อย กล่าวคือปริมาณการปล่อยก๊าซของจีนเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับ 1.4% ของสหรัฐทั้งๆที่เมื่อปี 2548 จีนปล่อยก๊าซที่ว่านี้น้อยกว่าสหรัฐถึง 2% ซึ่งก็ถือเป็นครั้งแรกที่จีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แซงหน้าสหรัฐ ซึ่งครองอันดับหนึ่งมานานติดต่อกันหลายปี แต่ตัวเลขล่าสุดนี้คำนวณเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการผลิตซีเมนต์และการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากซากพืชซากสัตว์โดยเฉพาะจากถ่านหินเท่านั้น โดยยังไม่ได้รวมส่วนที่มีที่มาอื่นทั้งยังไม่รวบถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่น อย่างเช่น ก๊าซมีเธนจากการทำการเกษตร และไนตรัสออกไซด์จากอุตสาหกรรม แม้จีนจะแซงหน้าสหรัฐเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเทียบปริมาณการปล่อยก๊าซของประชากรต่อหัวแล้วอัตราการสร้างมลภาวะของคนจีนยังต่ำกว่าคนสหรัฐ 5-6 เท่า การที่จีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แซงหน้าสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย หากแต่เร็วกว่าที่คิด เพราะหลายคนคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า และเรื่องนี้ก็ทำให้หลายฝ่ายหวั่นวิตกมากขึ้น ต่อปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และอาจเพิ่มแรงกดดันให้ต้องเร่งผลักดันข้อตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกที่จะมาใช้แทนพิธีสารเกียวโตซึ่งกำลังจะหมดอายุในปี 2555 ที่ผ่านมา พิธีสารเกียวโตไม่มีความคืบหน้ามากนักเนื่องจากสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปี ไม่ยอมให้สัตยาบันพิธีสารเกียวโตเนื่องจากพิธีสารฉบับนี้ไม่ได้เรียกร้องให้จีนและประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างอินเดียและบราซิลต้องตัดลดการปล่อยก๊าซ เมื่อต้นเดือน รัฐบาลจีนได้ประกาศวาระแห่งชาติเกี่ยวกับการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน เป็นครั้งแรกโดยตั้งเป้าลดการใช้พลังงานลง 20% ภายในปี 2553 และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ แต่ไม่กำหนดตัวเลขเป้าหมายการตัดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง "อัล กอร์"งอนคนสนใจ"ปารีส ฮิลตัน"มากกว่าโลกร้อน อดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ ไม่พอใจที่สื่อให้ความสำคัญกับปารีส ฮิลตัน มากกว่าโลกร้อน เว็บไซท์ของแท็บลอยด์ เดอะซัน ของอังกฤษ รายงานว่า อดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ ของสหรัฐที่ได้รับฉายาว่า บุรุษผู้มีภารกิจในกอบกู้โลก ไปแล้วนั้น ได้แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งที่ดูเหมือนคนจะให้ความสนใจต่อเรื่องของปารีส ฮิลตัน ทายาทสาวตระกูลธุรกิจโรงแรมดัง ที่กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำฐานฝ่าฝืนทัณฑ์บนหลังกระทำความผิดข้อหาเมาแล้วขับ อดีตรองประธานาธิบอัล กอร์ ซึ่งผันตัวเองไปเป็นนักรณรงค์เคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเตือนภัยเรื่องโลกร้อน ที่เขาเชื่อว่า มีเวลาเพียง 10 ปี ที่จะช่วยกันแก้ไขก่อนที่จะสายเกินไป แต่เขากลับต้องเผชิญศึกใหญ่ในการรณรงค์ เมื่อเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ทุกช่องต่างแย่งกันออกอากาศรายงานข่าวเรื่องการส่งตัวปารีส ฮิลตัน เข้าเรือนจำ อดีตรองประธานาธิบดีกอร์ กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญภัยพิบัติ แต่ทุกคนกลับให้ความสนใจแต่ปารีส ฮิลตัน ทำให้ต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ มีขึ้นขณะที่กอร์เดินสายรณรงค์เรื่องโลกร้อนที่นครอิสตันบุล ของตุรกี เพื่อแถลงข่าวกรณีที่ตุรกีจะเข้าร่วมในคอสเสิร์ตร็อค ไลฟ์ เอิร์ธ ที่จะจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์ ในอังกฤษ รวมถึง นิวยอร์ค ซิดนีย์ โยฮันเนสเบิร์ก ริโอ เดอ จาเนโร โตเกียว และฮัมบวร์ก "กอร์"วอนปชช.ทั่วโลกตั้งปฏิญาณ7ข้อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน "อัล กอร์" วอนประชาชนทั่วโลกร่วมตั้งปฏิญาณ 7 ข้อ ช่วยแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน (29มิย.)อัล กอร์ อดีตรองประธา นาธิบดีของสหรัฐ เรียกร้องเมื่อวันพฤหัสบดีให้ประชาชนทั่วโลกร่วมปฏิบัติตาม"ปฏิญาณ 7 ข้อ"เพื่อมีส่วนช่วยผลักดันการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยเขาเปิดเผยเนื้อหาปฏิญาณดังกล่าวระหว่างแถลงข่าวประชาสัมพันธ์การจัดคอนเสิร์ต ไลฟ์ เอิร์ธ ที่จะจัดขึ้น 8 แห่งทั่วโลกและถ่ายทอดสดไปกว่า 100 ประเทศในวันที่ 7 กรกฎาคม โดยเขาชักชวนให้ผู้เข้าชมคอนเสิร์ตดังกล่าวและกิจกรรมอื่นๆร่วมเข้าไปลงชื่อใน***ไซต์ LiveEarth.org เพื่อให้ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามปฏิญาณทั้ง 7 ข้อ เช่น ผลักดันในรัฐบาลในประเทศของตนลงนามในสนธิสัญญาแก้ไขปัญหาโลกร้อนภายใน 2 ปี ผลักดันให้เกิดกฎหมายและนโยยายที่ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดการใช้น้ำมันและถ่านหินปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประหยัดการใช้พลังงานทั้งในบ้าน สถานที่ทำงาน โรงเรียน และปลูกต้นไม้ เป็นต้น ส่วนคอนเสิร์ตที่จะจัดขึ้นนั้น กอร์จะเข้าร่วมงานด้วยที่สนามกีฬา ไจแอนต์ส สเตเดียมในเมืองอีสต์ รูเธอร์ฟอร์ด รัฐนิวเจอร์ซีของสหรัฐ นอกจากนี้จะยังมีคอนเสิร์ตเหมือนกันในอังกฤษ แอฟริกาใต้ บราซิล จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเยอรมนี และยังมีกิจกรรมปาร์ตี้ของไลฟ์ เอิร์ธอีกกว่า 6,000 งานใน 119
blockquote{
border:1px solid #d3d3d3;
padding: 5px;
}
ยูเอ็นอีพีรุดถกผู้ว่าฯกทม.หารือแผนลดภาวะโลกร้อน กทม. และ ยูเอ็นอีพี หารือลดโลกร้อน ผลักดันเป้าหมายเป็นจริงใน 1 ปี ขณะที่ กทม.เตรียมรับอาสาเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเมืองในภูมิภาคอาเซี่ยน Mr.Surendra Shrestha ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ(United Nations Environment Programme-UNEP และคณะเข้าพบนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งที่ผ่านมา กทม.ได้เริ่มดำเนินการร่วมกับ 36 องค์กรในปฏิญญากรุงเทพมหานครว่าด้วยความร่วมมือแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยมีโครงการที่ได้รณรงค์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงร่างแผนปฏิบัติการลดโลกร้อนของกทม. พ.ศ.2550-2555 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างประกาศและรับฟังความเห็นจากประชาชน นายอภิรักษ์ เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกันใน 3 เรื่องหลัก โดยตั้งเป้าที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นภายใน 1 ปี คือ การรวบรวมข้อมูลและแนวทางจัดทำเป็นเอกสารวิชาการ โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเผยแพร่ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาและร่วมมือกันลดโลกร้อน รวมถึงจะจัดทำโครงการนำร่องเกี่ยวกับที่พักอาศัยประหยัดพลังงานและไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(Green Building) เพื่อลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรในอาคาร และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยจะหารือร่วมกับบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยในการให้บริการแบบอาคารประหยัดพลังงาน ส่วนกทม.จะดูแลเรื่องระเบียบอาคารเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางลดโลกร้อนด้วย พร้อมกันนี้จะหารือกับบริษัทผลิตรถยนต์และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ในการส่งเสริมการผลิตรถแบบไฮบริดคาร์ ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีการใช้เชื้อเพลิงสองชนิดทั้งน้ำมันและไฟฟ้า เพื่อประหยัดการใช้น้ำมันและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย UNEP จะนำเทคโนโลยีในประเทศพัฒนาแล้วมาให้การสนับสนุนด้วย นอกจากนี้ กรุงเทพมหานคร จะจัดประชุมผู้นำเมืองต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ อีกทั้งเป็นการขยายผลความร่วมมือแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนในระดับภูมิภาคให้บรรลุผลสำเร็จ ไลฟ์เอิร์ธกระหึ่มความมันสู้โลกร้อน ซิดนีย์-คอนเสิร์ตไลฟ์เอิร์ธกระหึ่มขึ้น 7 ทวีปทั่วโลก กระตุ้นกระแสแก้ภัยโลกร้อน มหกรรมการแสดงคอนเสิร์ตไลฟ์ เอิร์ธ จากศิลปินชื่อดังกว่า 150 ชีวิต เพื่อรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักถึงภัยจากปัญหาโลกร้อน ได้ระเบิดความมันขึ้นใน 8 ประเทศ 7 ทวีปทั่วโลก เมื่อวันเสาร์ (7 ก.ค.) โดยมีการถ่ายทอดสดทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง ท่ามกลางการเฝ้าชมของผู้คนทั่วโลกกว่า 2,000 ล้านคน ทั้งนี้ คอนเสิร์ตแรกเริ่มต้นขึ้นด้วยการแสดงดนตรีพื้นเมืองชนเผ่าอะบอริจิ้นบนเวทีในสนามกีฬาออสซี่ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย พร้อมผู้ชมกว่า 5 หมื่นคน ก่อนที่ นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ โต้โผใหญ่ของงานนี้ จะกล่าวเปิดงานด้วยวิดีโอฉายผ่านจอยักษ์บนเวที เรียกร้องให้ช่วยกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ศิลปินที่เล่นเป็นวงแรกคือ วงบลู คิง บราวน์ ของออสเตรเลีย หลังจากปีเตอร์ การ์เร็ต อดีตราชาเพลงร็อคชาวออสเตรเลีย ที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง ขึ้นกล่าวเรียกร้องให้ประชาชนในประเทศพัฒนาแล้วอย่างออสเตรเลีย อเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป ช่วยกันผลักดันให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อนที่หายนะจะมาเยือน จากนั้นแฟนเพลงกว่า 1 หมื่นคน ที่หอประชุมมากุฮาริ ชานกรุงโตเกียว ก็ได้เวลาระเบิดความมัน ซึ่งมีทั้งศิลปินทั้งชาวญี่ปุ่นและอเมริกา อย่าง อาอิ โอตสึกะ และวงลิงคิน พาร์ค ร่วมแสดงพลังรักษ์โลก ถัดมาเป็นคอนเสิร์ตที่นครโยฮันเนสเบิร์กในแอฟริกาใต้ ก่อนจะเป็นคอนเสิร์ตในหอไข่มุกที่นครเซี่ยงไฮ้ในจีน ซึ่งจัดขึ้นท่ามกลางเสียงบ่นของแฟนเพลง ที่ผิดหวังเพราะมีศิลปินต่างประเทศมาร่วมเพียงคนเดียว นั่นคือ ซาราห์ ไบร์ทแมน ส่วนคอนเสิร์ตที่สนามเอชเอสเอชนอร์ดแบงก์ ในเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนีนั้น มีเอ็นริเก อิเกลเซียส และชากีรา ขณะที่คอนเสิร์ตที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน อังกฤษ มีศิลปินชื่อดังคับคั่ง รวมทั้ง มาดอนนา ราชินีเพลงป๊อปเข้าร่วม ด้านสหรัฐมีขึ้นที่สนามกีฬาในนิวเจอร์ซีย์ พร้อมด้วยศิลปินดังล้นหลาม ก่อนจะปิดคอนเสิร์ตที่นครริโอเดอจาเนโร บราซิล รวมทั้งมีการแสดงคอนเสิร์ตที่สถานีสำรวจแอนตาร์กติกของอังกฤษบนขั้วโลกใต้ และวัดโทจิในเมืองเกียวโต เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองอันเป็นสถานที่กำเนิดพิธีสารว่าด้วยเรื่องโลกร้อนฉบับแรกด้วย นอกจากนี้ ผู้จัดคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ยังเพิ่มคอนเสิร์ตแห่งที่ 9 ขึ้นในนาทีสุดท้าย ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอเมริกันอินเดียน ในกรุงวอชิงตัน สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ "อาเบะ" เยือนอินเดียหารือ แก้ปัญหาโลกร้อน นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น เดินทางเยือนอินเดีย โดยมีกำหนดจะพบหารือกับนายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์ ของอินเดีย หลังการหารือคาดว่า ผู้นำทั้งสองจะร่วมกันออกแถลงการณ์ความร่วมมือในการแก้ปัญหาโลกร้อน ทั้งนี้ ผู้นำญี่ปุ่นจะเรียกร้องให้อินเดียมีส่วนร่วมในแนวทางแก้ปัญหาโลกร้อนฉบับใหม่ที่เสนอโดยญี่ปุ่น เพื่อแทนพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2555 พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล วานนี้ (10 ก.ค.) กรมอุตุนิยมวิทยาของอาร์เจนตินา เปิดเผยว่า เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปี เมื่อหิมะตกหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงหลายพื้นที่ในกรุงบูเอโนสไอเรส เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา บางแห่งมีหิมะตกหนักจนมองเห็นเป็นสีขาวโพลนที่ปกคลุมอยู่ทั่วไป ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ทำให้ชาวกรุงบูเอโนสไอเรสต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะเป็นครั้งแรกที่มีหิมะตกในนครหลวงแห่งนี้นับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2461 เป็นต้นมา พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 2007 น้ำแข็งมหาสมุทรอาร์กติก ละลายมากที่สุด สถานการณ์โลกร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือรุนแรงยิ่งขึ้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติสหรัฐ (National Snow and Ice Data Center-NSIDC) คาดการณ์ว่า ฤดูร้อนปี 2007 น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะละลายมากที่สุด น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกมีสองชนิดคือ คือหนึ่ง น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะเริ่มละลายในฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่เดือนเมษายน โดยจะละลายมากที่สุดในเดือนกันยายนซึ่งเป็นปลายฤดูร้อน และน้ำทะเลจะจับตัวเป็นน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่งในฤดูหนาว ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน โดยจะมีปริมาณน้ำแข็งมากที่สุดในเดือนมีนาคม การศึกษาของ NSIDC พบว่าปริมาณน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนลดลงอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2001 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระหว่างปี 1979-2000 ซึ่งมีปริมาณน้ำแข็งเท่ากับ 7.7 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.96 ล้านตารางไมล์ ปี 2005 เป็นปีที่น้ำแข็งฤดูร้อนในมหาสมุทรอาร์กติกละลายมากที่สุด โดยในเดือนกันยายนมีปริมาณน้ำแข็งเพียง 5.32 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.09 ล้านตารางไมล์ น้อยกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2.38 ล้านตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ดี ในปี 2006 น้ำแข็งฤดูร้อนเพิ่มขึ้นกว่าในปี 2005 โดยมีปริมาณเท่ากับ 5.9 ล้านตารางกิโลเมตรหรือ 2.3 ล้านตารางไมล์ ส่วนน้ำแข็งฤดูหนาวมีปริมาณน้อยที่สุดในเดือนมีนาคม ปี 2006 คือ 14.5 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 5.6 ล้านตารางไมล์ น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในระหว่างปี 1979-2000 ซึ่งเท่ากับ 15.7 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ6.1 ล้านตารางไมล์ ถึง 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า สถิติน้ำแข็งน้อยที่สุดในฤดูร้อนปี 2005 กำลังจะถูกทำลายลง เพราะเพียงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมปี 2007 ปริมาณน้ำแข็งฤดูร้อนในมหาสมุทรอาร์กติกมีน้อยกว่าในปี 2005 ณ ช่วงเวลาเดียวกัน โดยปริมาณน้ำแข็ง ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2007 เท่ากับ 5.8 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.24 ล้านตารางไมล์ และวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2007 เหลืออยู่ 5.4 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.1 ล้านตารางไมล์ และยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าจะสิ้นสุดฤดูร้อน มาร์ค เซอเรซ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของ NSIDC อธิบายว่า ถ้าดูข้อมูลในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม จะพบว่ากราฟอยู่ต่ำกว่าในปี 2005 "ดังนั้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นว่า บริเวณอาร์กติกเกิดเย็นขึ้นมาทันทีทันใดแล้วละก็ มันก็ยากที่จะไม่ทำลายสถิติก่อนหน้านี้" เขากล่าว น้ำแข็งที่ละลายเร็วขึ้นเป็นผลย้อนกลับ (Feedback) ต่อปัจจัยนำเข้า (Input) ของระบบน้ำแข็งในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกที่เรียกว่า positive feedbacks ซึ่งค้นพบโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยด้านบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (National Center for Atmospheric Research : NCAR) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และมหาวิทยาลัยแม็คกิลล์ ผลย้อนกลับที่ว่านี้ก็คือ แผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปสู่อวกาศประมาณ 80% ปรากฏการณ์นี้ทำให้บริเวณขั้วโลกหนาวเย็นและยังลดอุณหภูมิของโลกลงด้วย แต่เมื่อน้ำแข็งละลายเป็นน้ำทะเล แทนที่น้ำทะเลจะสะท้อนแสงอาทิตย์มันกลับดูดกลืนแสงอาทิตย์ประมาณ 90% ทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้น ซึ่งจะไปเร่งให้น้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เมื่อปลายปี 2006 ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐเผยผลการศึกษาว่า มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่มีน้ำแข็งอีกเลยภายในปี 2040 ในขณะที่สถานการณ์โลกร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือเลวร้ายลง สถานการณ์โลกร้อนบริเวณป่าอเมซอน ประเทศบราซิลกำลังดีขึ้น เมื่อการทำลายป่าไม้ในป่าอะเมซอนในช่วงเวลาระหว่างเดือนสิงหาคมปี 2005-เดือนกรกฎาคมปี 2006 ลดลงประมาณ 25 %ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา บราซิลเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 1 พันล้านตัน และมากกว่า 75% มาจากการตัดไม้ทำลายป่า รัฐบาลบราซิลแถลงว่าเป็นเพราะนโยบายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการป้องกันปราบปรามการลักลอบตัดไม้ที่ได้ผล ด้านนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างชื่นชมกับตัวเลขนี้ แต่เห็นว่ามันเป็นผลที่เกิดจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำและสภาพเศรษฐกิจด้วยที่ทำให้การตัดไม้ทำลายป่าลดลง ประธานาธิบดี ลูอิส อินาสิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล กล่าวว่า ตัวเลขใหม่นี้แสดงให้เห็นการปกป้องสิ่งแวดล้อมและป่าอเมซอนก็ไม่ได้ขัดขวางบราซิลในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกแต่อย่างใด และว่าการตัดไม้ทำลายป่าที่ลดลงนี้เป็นการป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 410 ล้านตัน และรักษาต้นไม้ไว้ได้ถึง 600,000 ต้น เขาเชื่อว่าเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมจะไปด้วยกันได้ "ความท้าท้ายซึ่งเราต้องเอาชนะก็คือการรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากป่าอย่างไรและจะปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างไร ขณะเดียวกัน ก็ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นด้วย" อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางคนก็แสดงความเป็นห่วงว่าการตัดไม้ทำลายป่าที่ลดลงนี้อาจเป็นเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หากราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น อย่างเช่นราคาถั่วเหลือง ก็จะทำให้การตัดไม้ทำลายป่าในป่าอเมซอนเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ 1906512230 ผู้นำ 15 เมืองใหญ่ ร่วมถกแก้ ภาวะโลกร้อน กทม.จัดประชุมลดโลกร้อนเชิญผู้นำ 15 เมืองใหญ่ถกแนวทางแก้วิกฤตโลกร้อน พร้อมลงนามปฏิญญากรุงเทพฯนำมาใช้อย่างจริงจัง 1. Green Generation สานฝันคนรุ่นใหม่ เรียนรู้ทันโลก 1.การปฏิวัติพลังงาน ด้วยการนำเสนอทิศทางการพัฒนาพลังงานทดแทน ทั้งพลังงานลม คลื่นน้ำ และแสงอาทิตย์ โดย ท่านบุนจัน สินทะวง ผู้นำเมืองจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว Mr.Fauzi Bowo ผู้นำเมืองจากอินโดนีเซีย Mr.Mann Chhoeurn ผู้นำเมืองจากกัมพูชา Mr.Zhang Gang ผู้นำเมืองจากสาธารณรับประชาชนจีน Mr.Thiyagarajan Velumail จาก UNDP และ Mr.Masakasu Ichimura จาก UNESCAP ส่วนหัวข้อที่ 2 ได้แก่ การปรับปรุงระบบการจราจรและขนส่งด้วยการใช้เชื้อเพลิงสะอาด เพื่อสิ่งแวดล้อมสีเขียว โดย Mr.Jose Sarte Salceda ผู้นำจากฟิลิปปินส์ Mr.Arti Mehra ผู้นำเมืองจากอินเดีย Mr.Salleh Yusup ผู้นำเมืองจากมาเลเซีย พร้อมด้วยผู้นำเมืองจากเกาหลีใต้ Dr.Nat Pinnoi จากธนาคารโลก และผู้บริหารจากปตท.คาร์ฟูร์ ส่วนในวันที่ 27 มิ.ย.จะเป็นการไปดูงานอาคารประหยัดพลังงาน ทั้งนี้ ในการประชุมจะมีการลงนามในปฏิญญากรุงเทพฯ Bangkok Declaration for ASEAN+6 City Forum ซึ่งกทม.จะนำมาปรับใช้ พร้อมทั้งจะมีการกำหนดวาระในการลดโลกร้อนเพื่อนำไปประชุมอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปลายปีนี้ อีกด้วย พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล สวัสดีปีฉลู 2552 ทุก ๆ ท่าน ที่เข้าเยี่ยมชมข้อมูลภาวะโลกร้อน...ครับ. * * * * * * * * * * * * * พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล Tel. 02-990-0331 0601522348 |