ReadyPlanet.com


ในหลวงทรงห่วงภาวะ...โลกร้อน


ในหลวงทรงห่วงภาวะโลกร้อน กรมชลฯบูรณาการทุกส่วนแก้

9 กรกฎาคม 2550 19:42 น.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงภาวะโลกร้อน ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและสภาพอากาศแปรปรวน ด้านกรมชลฯ เร่งบูรณาการหลายหน่วยงานดำเนินการแก้ปัญหาตามแนวพระราชดำริ พร้อมเปิดบริการเอสเอ็มเอสผ่านมือถือทุกระบบฟรี รายงานสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ ดีเดย์ 23 ก.ค.นี้ สธ.ลดภาวะโลกร้อนจากเผาป่า-ขยะภาคเหนือ กทม.จัดงาน"ไม่ขับ ช่วยดับเครื่อง"

(9ก.ค.) นายสามารถ โชคคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยและห่วงใยต่อสถานการณ์โลกร้อน รวมถึงสถานการณ์น้ำ โดยกรมชลฯ ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานอย่างต่อเนื่องทุกวัน และช่วงที่วิกฤติมาก ๆ ก็จะกราบบังคมทูลหลายครั้งต่อวัน

นอกจากนี้ หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ทราบดีว่าทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องน้ำ จึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงาน เอกสาร ข้อมูลต่าง ๆ เป็นจำนวนมากเช่นกัน ทั้งนี้ เรื่องภาวะโลกร้อนที่ทรงสนพระราชหฤทัยเป็นพิเศษ คือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น การแปรปรวนของภาวะอากาศ เป็นต้น

สำหรับการดำเนินการของกรมชลฯ ในขณะนี้ ยังเร่งดำเนินการแก้ปัญหาตามแนวพระราชดำริ โดยเฉพาะแนวพระราชดำริที่พระราชทานภายหลังสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเน้นด้านการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิมากที่สุด เช่น ทรงให้ตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศให้ละเอียดยิ่งขึ้น ในปีนี้ได้ปรับการทำงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาบูรณาการข้อมูลร่วมกันอย่างต่อเนื่องแล้ว หรือกรณีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ก็ยังอยู่ระหว่างการศึกษา

นายสามารถ ยังกล่าวถึงการพระราชทานแนวพระราชดำริต่าง ๆ จะทรงย้ำเสมอว่า เป็นแนวหลักการคิดเท่านั้น ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบหลักการทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และผลกระทบต่อประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นคำสั่งแต่อย่างได

ส่วนกรณีที่จะเกิดปัญหาความขัดแย้งของประชาชน ขึ้นในโครงการต่าง ๆ ทรงย้ำให้ดำเนินการแก้ปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาขัดแย้งเหล่านั้นเสียก่อน ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนมีความเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง โดยส่วนตัวคิดว่าการดำเนินการโดยนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปอ้างเพื่อให้ประชาชนยอมให้ดำเนินโครงการเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่สมควรอย่างยิ่ง

อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวด้วยว่า ประมาณวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ กรมชลฯ จะเปิดให้บริการแจ้งข่าวสถานการณ์น้ำผ่านข้อความสั้นโทรศัพท์เคลื่อน หรือ เอสเอ็มเอส ในระบบเอสไอเอส ดีแทค และ ทรูมูฟ ให้ประชาชนรับทราบข่าวล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ และสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำของแต่ละพื้นที่อย่างเฉพาะเจาะจง โดยไม่คิดค่าบริการจากประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบและให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานและติดตามสถานการณ์น้ำของกรมชลฯ เรียบเรียงข้อความ คำศัพท์ชลประทานให้อยู่ในรูปแบบที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจง่าย สั้นกระชับชัดเจนไม่เกิน 200 ตัวอักษร

สธ.ลดภาวะโลกร้อนจากเผาป่า-ขยะภาคเหนือ 

เช้าวันนี้ (9ก.ค.) ที่โรงแรมเชียงใหม่ออคิด จังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมถ่ายทอดความรู้ ด้านการแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ แก่แพทย์ พยาบาล นักวิชาการ จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลชุมชน เจ้าหน้าที่เทศบาล อาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา เชียงราย แพร่ น่าน ตลอดจนเครือข่าย สสส. และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กว่า 400 คน  

หลังจากที่เกิดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือขึ้นในปี 2550 เพื่อให้บุคลากรหน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ภาคเหนือ มีความรู้ความเข้าใจ สามารถให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวในการป้องกันควบคุม และแก้ไขผลกระทบต่อสุขภาพจากมลพิษหมอกควันแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตลอดจนสาธิตวิธีการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นและหมอกควันที่ถูกต้องด้วย

นายแพทย์วัลลภ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ปัญหาหมอกควันในภาคเหนือในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2550 ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากการเผาป่าทั้งในประเทศและประเทศใกล้เคียง ทำให้ภาคเหนือได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง 8 จังหวัด โดยกรมควบคุมมลพิษได้รายงานการตรวจวัด ณ สถานีตรวจวัดจังหวัดเชียงใหม่และลำปาง พบว่ามีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน มีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐานมากวัดได้ถึง 380 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งค่ามาตรฐานไม่ควรเกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจำนวนมาก

โดยมีผู้เจ็บป่วยที่เกิดจากปัญหาหมอกควันในช่วงดังกล่าวกว่า 120,000 ราย ทำให้สูญเสียงบประมาณค่ารักษาพยาบาลกว่า 83 ล้านบาท โรคที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคผิวหนัง โรคตา และอุบัติเหตุ

นายแพทย์วัลลภ กล่าวต่อไปว่า การดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่าเจ้าหน้าที่ยังขาดความรู้ในเรื่องผลกระทบหมอกควันไฟ และความเข้าใจด้านการป้องกันควบคุมและแก้ไขปัญหาจากสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ เป็นต้น รวมทั้งการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการวางแผนแก้ไขได้ทันเวลา

"ทั้งนี้การประชุมดังกล่าวได้เน้นบทบาท อสม.ซึ่งเป็นผู้ที่ใกล้ชิดชุมชน โดยเบื้องต้นให้ อสม. ร่วมสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลชุมชนและแหล่งก่อมลพิษในชุมชน เช่น การเผาป่า เผาขยะ การปล่อยสารพิษในสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้ชาวบ้านในการรักษาสภาพแวดล้อม รักษาป่าเพื่อคงความเป็นธรรมชาติในชุมชน เมื่อเกิดไฟไหม้ให้ร่วมกับชุมชนประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น และเฝ้าระวังภาวะสุขภาพของชาวบ้าน แล้วจัดทำรายงานความเสี่ยงเบื้องต้นให้สถานีอนามัย นอกจากนี้ ให้แจ้งสถานีอนามัยทันทีในกรณีมีเหตุฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ" นายแพทย์วัลลภ กล่าว

"อภิรักษ์"จัดงาน"ไม่ขับ ช่วยดับเครื่อง"

 เมื่อเวลา 17.00 น. ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาเพื่อสวัสดิการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ถ.วิภาวดีรังสิต นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน และผู้บริหารสถานีบริการน้ำมัน 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) บริษัท เอสโซ่(ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวลดโลกร้อนและรณรงค์โครงการ "ไม่ขับ ช่วยดับเครื่อง" 

นายอภิรักษ์ กล่าวถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสห่วงใยภาวะโลกร้อน และให้เน้นรณรงค์ความร่วมมือกับชุมชนให้มากที่สุดว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยในภาวะโลกร้อน ซึ่งที่ผ่านมาทรงพระราชทานหลักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และกทม.เองได้น้อมรับมาปฏิบัติ โดยขอความร่วมมือจากประชาชนทั่วไป แต่นอกเหนือจากนั้นหลังจากที่ทรงมีกระแสพระราชดำรัสออกมา กทม.จะเน้นลงไปให้ความรู้กับชุมชนโดยตรงด้วย เพื่อขยายผลการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มากขึ้น รวมทั้งกิจกรรมที่ กทม.ดำเนินการหรือรณรงค์มาอย่างต่อเนื่องนี้ ก็จะมีการประเมินผลความคืบหน้าของการทำกิจกรรม

"อย่างไรก็ตามเชื่อว่าวันนี้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคประชาชนต่างตระหนักและตื่นตัวมากขึ้นกับการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน" นายอภิรักษ์ กล่าวและว่า

สำหรับการจัดงาน "ไม่ขับ ช่วยดับเครื่อง" นับเป็นครั้งที่ 3 เพื่อรณรงค์กิจกรรมลดภาวะโลกร้อน ทุกวันที่ 9 ของทุกเดือน โดยในครั้งนี้เป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีนส่วนร่วมในการลดใช้พลังงาน ด้วยการดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่เติมน้ำมัน หรือจอดรถ ซึ่งข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า กทม.มีจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลที่จดทะเบียนจำนวน 505 ล้านคัน แบ่งเป็นรถเครื่องยนต์ดีเซล 1.3 ล้านคัน รถเครื่องยนต์เบนซิน 4.23 ล้านคัน มีสถิติการใช้น้ำมันเบนซิน 5,935 ล้านลิตร/ปี และน้ำมันดีเซล 18,315 ล้านลิตร/ปี หากรถยนต์ 1 คัน ดับเครื่องยนต์ 5 นาที จะช่วยประหยัดน้ำมันถึง 100 ซีซี หรือ 0.1 ลิตร ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.13 กิโลกรัม หากรถยนต์ทุกคันดับเครื่องยนต์ 5 นาที สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 715 ตัน/วัน หรือ 260,975 ตัน/ปี ประหยัดน้ำมัน 550,000 ลิตร ประหยัดค่าใช้จ่าย 5,621 ล้านบาท/ปี(น้ำมันลิตรละ 28 บาท)  

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวด้วยว่า ในการรณรงค์ "ไม่ขับ ช่วยดับเครื่อง" กทม.นำร่องที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.สาขาเพื่อสวัสดิการ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ถ.วิภาวดีรังสิต จากนั้นจะขยายผลไปยังปั๊มน้ำมันทุกแห่งทั้ง 50 เขตทั่ว กทม. ทั้งนี้ กทม.ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 12 ล้านตัน/ปี จามเดิม 82 ล้านตัน/ปี ให้เหลือ 70 ล้านตัน/ปี

 

http://www.apdi2002.com/

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

blockquote{ border:1px solid #d3d3d3; padding: 5px; }
[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1045177)
หมอชี้ภาวะโลกร้อนส่งผลโรคที่แมลงเป็นพาหะ-ภูมิแพ้เพิ่มขึ้น 11 กรกฎาคม 2550 08:16 น. แพทย์ เผย ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อโรคที่มียุง แมลง เป็นพาหะ เคลื่อนย้ายข้ามจังหวัดและภูมิภาค ทำให้ความถี่โรคที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันอุณหภูมิสูงขึ้น ไรฝุ่นมีโอกาสเพิ่ม เป็นเหตุให้โรคภูมิแพ้มากขึ้น เรียกร้องวิจัยศึกษาโรคที่อาจเกิดจากโลกร้อนเพื่อป้องกันได้ถูกทาง ขณะที่แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินแนะดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อรับมือโลกร้อน ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว)กล่าวว่า เนื่องจากประเทศไทยอยู่แถบภูมิอากาศร้อนอยู่แล้ว ภาวะโลกที่จะร้อนขึ้นอาจยังไม่ชัดเจนสำหรับโรคใหม่ ๆ มากนัก แต่จำนวนความถี่ของโรคที่มีอยู่เก่าอาจจะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าเรื่องยุง แมลงวัน หรือแมลงต่าง ๆ อาจจะมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงในเขตจังหวัดหรือภูมิภาคได้ ดังนั้น ประเทศไทยคงต้องเตรียมการเปลี่ยนแปลงจากโรคที่มีแมลงเป็นพาหะจะเพิ่มมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้น รวมทั้งโรคภูมิแพ้ ซึ่งไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้มากที่สุด และไรฝุ่นชอบอยู่ในที่ร้อนและชื้น คงมีตัวเลขคนเป็นภูมิแพ้มากขึ้น ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ไรฝุ่นจะมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น สปอร์เชื้อราน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ละอองเกสรหญ้า ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดภูมิแพ้ก็มีการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศปัจจุบันโรคภูมิแพ้มีมากอยู่แล้ว โดยในเด็กและเยาวชนเป็นภูมิแพ้ในจมูกร้อยละ 20-40 หอบหืดร้อยละ 4-13 ถ้ามีไรฝุ่นมาก สิ่งแวดล้อมกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้มากขึ้น คงมีตัวเลขคนเป็นภูมิแพ้มากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงยังต้องการการวิจัยว่าถ้าร้อนขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส จะเป็นอย่างไร ส่วนที่ชัดเจนคือ ภูมิแพ้ผิวหนัง “ถ้าร้อนเหงื่อออกมากขึ้นจะกระตุ้นให้คนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังมีอาการมากขึ้น การรักษาพยาบาลผมคิดว่ามีความพร้อมพอ แต่สิ่งที่จะต้องช่วยกันกระตุ้นความคิดคือการทำงานวิจัยที่จะต้องไปร่วมมือกับด้านกีฏวิทยาและนิเวศวิทยา คงจะไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขอย่างเดียว จะต้องร่วมมือกับสัตวแพทย์ กรมปศุสัตว์ด้วยซ้ำว่าในวงจรชีวิตของแมลง ของสัตว์ที่เป็นแหล่งพาหะของโรคที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยภาวะอุณหภูมิอย่างไร และจะเป็นไปในทางโรครุนแรงมากขึ้นหรือน้อยลง ถ้างานวิจัยบูรณาการร่วมกัน จะทำให้เราวางแผนได้ถูกต้องว่าโรคอะไรที่จะเป็นปัญหาและป้องกันไว้ก่อน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ กล่าว ด้าน ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงทำให้ประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศแบบนี้เกิดการเจ็บป่วยขึ้น และมักเกิดจากปัญหา 2 ประการคือ 1. ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป จากความร้อนความแห้งแล้ง และเกิดไฟไหม้ป่า ทำให้เกิดควัน เหมือนที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของไทย เมื่อคนสูดดมไปจะทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ไอ หอบ เหนื่อย หายใจไม่ค่อยออก และเมื่อความแห้งแล้งเกิดขึ้นภาวะทุพโภชนาการก็จะเกิดขึ้น คนจะขาดอาหารขาดน้ำ จะทำให้เกิดโรคที่เกิดจากการขาดอาหารและน้ำ 2. ถ้าอากาศทำให้พื้นที่เกิดมีน้ำท่วมใหญ่ จะมีภัยจากโรคที่เกิดจากน้ำท่วมใหญ่ เช่น โรคฉี่หนู โรคน้ำกัดเท้า โรคที่มากับน้ำ ท้องเดินท้องเสีย ศ.นพ.สันต์ เปิดเผยด้วยว่า วิธีที่ดีที่สุดเพื่อรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะมากับโลกร้อนคือการดูแลสุขภาพของตนเองให้มีร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอพอควร ลดความเครียดจากภาวะการดำรงชีพ เพราะไม่แน่ใจว่าภูมิอากาศจะเกี่ยวข้องกับการเป็นโรคจิตมากขึ้นหรือไม่ แต่อาจเป็นได้ เนื่องจากเมื่ออากาศร้อนจะทำให้เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย “ถ้าประเทศไทยร้อนขึ้นก็มีส่วนทำให้คนมีปัญหาสุขภาพจิต เพราะถ้าร้อนมาก ๆ จะรู้สึกอึดอัด มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้บ่อย ดีที่สุดทุกคนต้องพยายามรักษาตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองให้เยือกเย็นลง ให้อารมณ์ดีขึ้น ถ้าร้อนก็ดื่มน้ำให้มาก ๆ อาบน้ำให้บ่อยขึ้น” หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ กล่าว และว่า สำหรับการรับมือกับโรคที่จะมากับโลกร้อนนั้น กระทรวงสาธารณสุขคงเตรียมพร้อมเต็มที่เพราะไม่ใช่เปลี่ยนแบบมีภัยพิบัติฉุกเฉินทันที ไม่ได้เปลี่ยนกะทันหันรวดเร็ว แต่จะเปลี่ยนอย่างช้า ๆ ส่วนใหญ่คนจะปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนอย่างช้า ๆ ได้ สำหรับความเจ็บป่วยฉุกเฉินที่เข้ามายังโรงพยาบาลจำนวนมาก จะเป็นเรื่องการบาดเจ็บจากการดื่มสุรา เมาแล้วขับมาก รวมถึงป่วยจากโรคภัยดั้งเดิมกำเริบ คือ โรคหัวใจ ปอด หอบหืด โดยช่วงนี้จะมีอาหารเป็นพิษและไข้เลือดออกเพิ่มด้วย http://www.apdi2002.com/ สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-11 11:40:50 IP : 124.121.135.46


ความคิดเห็นที่ 2 (1049826)
เมื่อเช้าวันที่ 14 กรกฎาคม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เปิดบ้านพิษณุโลก" ถึงการเตรียมจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต่อข้อถามว่า นายกรัฐมนตรี ยกตัวอย่างเรื่องของข้าว แสดงว่ารัฐบาลคำนึงถึงว่าเป็นปัญหาของชาติ เพราะฉะนั้น จะสนองพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใยเกษตรกร โดยเฉพาะคนที่ปลูกข้าวอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลนี้พิจารณาเรื่องหลัก ๆ ส่วนมากเกี่ยวกับเกษตรกร เรื่องการดูแลสภาวะแวดล้อม เรื่องโครงการปลูกป่าที่กำลังจะทำในโอกาสข้างหน้า ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำเพื่อเฉลิมฉลองในปีมหามงคล เช่นเดียวกัน ป่า น้ำ ที่จะทำต่อไป เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝนหลวง โดยจะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วไป เพราะกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นแนวพระราชดำริ เนื่องในต่างกรรมต่างวาระกันมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว 60 ปีที่ทรงครองสิริราชสมบัติ และเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ยกมากล่าวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นส่วนสำคัญ คือ การอัญเชิญหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการทำงาน ส่วนกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ทรงห่วงภาวะโลกร้อน เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤติอยู่ รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรรองรับ เพราะในอนาคตอาจมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับประเทศไทยนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว คือ โครงการปลูกป่า การดูแลพื้นที่ที่เป็นต้นน้ำลำธาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำที่จะไม่ให้เกิดความขาดแคลน ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญ นอกเหนือจากขาดแคลนแล้ว ในบางครั้งก็มากเกินไป จำเป็นจะต้องบริหารจัดการไม่ให้มากเกินไปเหมือนกัน www.waddeeja.com สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-15 18:13:03 IP : 124.121.136.200


ความคิดเห็นที่ 3 (1066762)

ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ

ภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นไม่เพียงแต่ส่งกระทบที่รุนแรงต่อประเทศไทยในทางกายภาพเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศชาติเช่นเดียวกัน กล่าวคือ การยุบตัวของพื้นที่ชายฝั่ง ภูมิอากาศแปรปรวน โรคระบาดรุนแรง และผลกระทบอื่นๆ ส่งผลให้มีประชากรบาดเจ็บล้มตาย ทิ้งที่ทำกิน และไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ประชาชนยังจะได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มที่ถูกสุขลักษณะระหว่างภาวะน้ำท่วม และความเสียหายที่เกิดกับระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งโดยมาก ผู้ที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจะเป็นประชาชนที่มีความยากจน และไม่มีทุนทรัพย์พอที่จะป้องกันผลกระทบของภาวะโลกร้อนได้ ยกตัวอย่างเช่น การป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มในพื้นที่ทำกิน อาจทำได้โดยการสร้างเขื่อน และประตูน้ำป้องกันน้ำเค็ม แต่วิธีการนี้ต้องลงทุนสูง ดังนั้นเมื่อราคาของการป้องกันสูงเกินกว่าที่ชาวนาจะสามารถรับได้ การทิ้งพื้นที่ทำกินในบริเวณที่ให้ผลผลิตต่ำจึงเป็นทางออกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ความเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญตามแนวชายฝั่งที่ยุบตัว ภัยธรรมชาติ และความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ธรรมชาติที่รุนแรง ล้วนส่งผลให้ผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าออกหลักของประเทศมีปริมาณลดลง พื้นที่ที่คุ้มค่าแก่การป้องกันในเชิงเศรษฐกิจ และพื้นที่ที่มีการพัฒนาสูง อาจได้รับการป้องกันล่วงหน้า เช่น นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จำต้องมีโครงสร้างป้องกันกระแสคลื่น ซึ่งจะรุนแรงขึ้นเมื่อน้ำทะเลสูงขึ้น หรือการสร้างกำแพงกั้นน้ำทะเลหรือเขื่อน เพื่อป้องกันการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางการเกษตร และการทำนาเกลือ เป็นต้น

การป้องกันดังกล่าวนั้นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ดังนั้น ในพื้นที่ที่ไม่คุ้มค่าที่จะป้องกันในเชิงเศรษฐกิจจะถูกละทิ้งไป ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุด เช่น การช่วยเหลือชาวนา ซึ่งจำเป็นที่จะต้องย้ายไปอยู่ที่ที่สูงขึ้นเนื่องจากน้ำทะเลรุก เป็นต้น

ทางออกของปัญหาภาวะโลกร้อน

หากมองย้อนกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหา เราจะพบว่าสาเหตุของภาวะโลกร้อนนั้นคือการที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงาน และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญที่สุดออกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้นการแก้ปัญหาก็คือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังจะเห็นได้จากความพยายามในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกในระดับนานาชาติที่ระบุใน พิธีสารเกี่ยวโต (Kyoto Protocol) พิธีสารเกี่ยวโตเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศ กำหนดให้มีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ 5.2 เปอร์เซ็นต์ต่ำกว่าระดับการปล่อยก๊าซดังกล่าวของปี .พ.ศ .2533 ภายใน พ.ศ. 2555

แม้ว่าพิธีสารเกี่ยวโตไม่ได้กำหนดให้ประเทศกำลังพัฒนา อย่างเช่นประเทศไทยจะต้องมีพันธะสัญญาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราควรจะคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากประเทศไทยเองก็มีความเสี่ยงต่อผลกระทบที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกดังที่กล่าวไว้

 

www.waddeeja.com

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-20 07:38:37 IP : 124.121.138.123


ความคิดเห็นที่ 4 (1069168)
ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-20 12:16:50 IP : 124.121.138.170


ความคิดเห็นที่ 5 (1069173)
ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-20 12:17:46 IP : 124.121.138.170


ความคิดเห็นที่ 6 (1071583)

นายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ ....ตีปี๊บแก้โลกร้อน


เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 20 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ เป็นประธานประชุมวาระแห่งชาติว่าด้วย "การปลูกต้นไม้ใช้หนี้" โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า เราต้องสนใจเป็นพิเศษในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ส่วนหนึ่งคือปัญหาสภาวะแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีกระแสพระราชดำรัสห่วงใยปัญหาที่เกิดขึ้น จึงถือเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันสร้างพื้นที่ป่า พื้นที่สีเขียวเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรามีพื้นที่ป่าก็จะเปลี่ยนแปลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นออกซิเจน นโยบายของรัฐบาลเน้นการเพิ่มพื้นที่ป่ามากขึ้น สำหรับโครงการปลูกต้นไม้ใช้หนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะปลุกจิตสำนึกประชาชน นอกจากจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศแล้วยังช่วยเหลือเกษตรกรในการชำระหนี้ เพราะระยะเวลาการปลูกต้นไม้ตามโครงการไม่เกิน 10 ปี ก็สามารถชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องลงทุน และการดำเนินการก็ใช้พื้นที่เพียงบางส่วนก็สามารถดำเนินการได้แล้ว

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-21 18:35:15 IP : 124.121.138.157


ความคิดเห็นที่ 7 (1071826)

ดวงอาทิตย์ไม่เกี่ยวโลกร้อน มนุษย์เป็นตัวการสำคัญหลังอุตสาหกรรมบูม

 

นักวิทยาศาสตร์ปิดคดีพิสูจน์ทฤษฎีเจ้าปัญหา ดวงอาทิตย์ไม่ได้มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้น เพราะหลังจากตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไป 20 ปี พบว่าดวงอาทิตย์ปล่อยพลังงานออกมาน้อยลง แต่อุณหภูมิโลกยังสูงขึ้นไม่ลดละ

 

 ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ออกมาวิจารณ์รายงานของคณะกรรมการสากลศึกษาปัญหาโลกร้อนที่ได้ตัดประเด็นรังสีคอสมิกมีส่วนทำให้โลกร้อนไว้ในรายงาน

 

 ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้เชื่อว่า รังสีคอสมิกซึ่งเป็นอนุภาคที่มีพลังงานมีกำเนิดจากนอกโลกมีบทบาทช่วยให้เมฆก่อตัวโดยอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้ทำให้ไอน้ำเกิดการควบแน่น เมื่อเมฆก่อตัวอากาศในโลกจึงเย็นสบาย แต่สนามแม่เหล็กที่ปลดปล่อยออกมาจากปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์ขัดขวางไม่ให้รังสีคอสมิกส่องมายังชั้นบรรยากาศโลกได้เต็มที่ เมฆจึงก่อตัวได้น้อยลง และอุณหภูมิโลกสูงขึ้น

 

 ไมค์ ลอควูด นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการรูเธอฟอร์ด-แอพเพลตัน ของอังกฤษรายงานว่า ในอดีตรังสีจากดวงอาทิตย์อาจส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลก แต่ยุคนี้ไม่เกี่ยว เขาเชื่อว่าข้อสรุปนี้คงช่วยให้เลิกเถียงกันเสียทีว่าโลกร้อนเป็นเพราะดวงอาทิตย์

 

 เขาได้ใช้การวิเคราะห์อย่างง่ายๆ โดยดูความเข้มของพลังงานจากดวงอาทิตย์และรังสีคอสมิกช่วง 30-40 ปีก่อน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับกราฟที่บันทึกอุณหภูมิพื้นผิวโดยเฉลี่ยของพื้นโลก ซึ่งช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 0.4 องศาเซลเซียส

 

 ข้อเท็จจริงที่เขาพบก็คือ การปล่อยพลังงานของดวงอาทิตย์มักแปรเปลี่ยนขึ้นสูงสุดลงต่ำสุดทุก 11 ปี แต่รอบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นระยะยาว ขณะที่ในคริสตศตวรรษที่ 20 พลังงานจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาก และเพิ่มในระดับที่คงที่

 

 อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดใน พ.ศ. 2528 กลับตาลปัตรไปทางตรงกันข้าม ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมาน้อยลง แต่ช่วงดังกล่าวอุณหภูมิโลกยังร้อนขึ้นพอๆ กับช่วง 100 ปีที่แล้ว หมายความว่า อุณหภูมิโลกที่ร้อนนี้ช่วง 20-40 ปีก่อน ไม่ได้เป็นผลมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์บนดวงอาทิตย์ แต่เป็นผลมาจากกิจกรรมของมนุษย์บนโลกดังที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการสากลศึกษาปัญหาภาวะโลกร้อน (ไอพีซีซี) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์

 

 พอได้วิเคราะห์ข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วพบว่า อิทธิพลจากดวงอาทิตย์ส่งผลต่อโลกจริง แต่เป็นยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่จะเอามาใช้กับโลกปัจจุบันไม่ได้แล้ว

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-07-22 06:57:14 IP : 124.121.135.251


ความคิดเห็นที่ 8 (1150677)

ผู้นำเอเปคลงนามแก้ปัญหาโลกร้อน

8 กันยายน พ.ศ. 2550

ซิดนีย์ - ผู้นำเอเปคเห็นพ้องกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังไม่มีข้อผูกพันที่เป็นรูปธรรม ขณะmujประธานาธิบดีจีนขอให้ประเทศร่ำรวยทำตามเป้าหมายพิธีสารเกียวโต ด้านผู้นำสหรัฐ-อินโดนีเซียเรียกร้องให้จีนและอินเดียกดดันพม่าแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายจอห์น ฮาวเวิร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าววันนี้ (8 ก.ย.) ว่า ผู้นำ 21 ประเทศในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ซึ่งประชุมร่วมกันที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ได้ร่วมลงนามใน "คำประกาศซิดนีย์" ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ความมั่นคงทางพลังงาน และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยทั้งหมดเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศพัฒนา จะต้องมีส่วนในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกำลังความสามารถและสภาพของตนเอง และว่า สมาชิกเอเปคกำลังก้าวไปสู่การบรรลุความเห็นร่วมกันครั้งใหม่

นายฮาวเวิร์ด กล่าวว่า คำประกาศที่ไม่มีผลผูกพันฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของทุกฝ่ายที่ให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อนไปพร้อมๆ กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้ลดการใช้พลังงานให้ได้อย่างน้อย 25% ภายในปี 2573 และเพิ่มพื้นที่ป่าในภูมิภาคให้มีอย่างน้อย 125 ล้านไร่ภายในปี 2563 เนื่องจากป่าช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน อีกทั้งคำประกาศนี้ยังเรียกร้องให้วางแผนแม่บทซึ่งจะเป็นฐานรากให้กับข้อตกลงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่จะใช้แทนที่พิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุลงในปี 2555 ด้วย

นอกจากนี้ ผู้นำเอเปคยังเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่จะต้องวางเป้าหมายเฉพาะ ในเรื่องมูลค่าพลังงานเบื้องต้นที่ใช้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) และการทำป่าไม้ และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการใช้ถ่านหินโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยถ่านหินถือเป็นตัวการสำคัญที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศโลก

คำประกาศซิดนีย์นับเป็นการแสดงถึงความประนีประนอมระหว่างเขตเศรษฐกิจร่ำรวยและยากจนในกลุ่มเอเปค ซึ่งเมื่อรวมกันคิดเป็น 60% ของเศรษฐกิจโลก

ขณะเดียวกัน นายหู จิ่นเทา ประธานาธิบดีจีน อาศัยเวทีผู้นำเอเปคเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยทำตามเป้าหมายเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ตามที่กำหนดไว้ในพิธีสารเกียวโต ส่วนประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ควรมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ตามสภาพการณ์ของแต่ละประเทศ

นายหู กล่าวว่า ประเทศพัฒนาแล้วควรยอมรับเรื่องความรับผิดชอบที่มีมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ และระดับการปล่อยก๊าซต่อหัวประชากรในปัจจุบัน ด้วยการปฏิบัติตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพิธีสารเกียวโตอย่างเคร่งครัด ขณะเดียวกัน ควรถ่ายทอดเทคโนโลยีและสนับสนุนทางการเงินให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา

ทางด้านนายฮัสซัน วิรายูดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอินโดนีเซีย กล่าวภายหลังการเจรจาระหว่างนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายสุสิโล บัมบัง ยูโดโยโน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ระบุว่า ผู้นำทั้งสองยอมรับว่าแรงกดดันจากนานาชาติไม่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่า โดยเมื่อปีที่แล้ว ชาติสมาชิกอาเซียนต่างก็ยอมรับว่าการใช้นโยบายเกี่ยวพันอย่างสร้างสรรค์ไม่ได้ก่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

นายยูโดโยโนกล่าวกับนายบุชว่า จีนและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านสำคัญของพม่า อาจมีส่วนช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่าได้ ซึ่งผู้นำสหรัฐก็เห็นพ้องด้วย ในโอกาสนี้ ผู้นำทั้งสองยังได้หารือถึงปัญหาการก่อการร้ายและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกด้วย แต่รายงานไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-09-09 12:08:15 IP : 124.121.142.239


ความคิดเห็นที่ 9 (1154480)

ผลวิจัยระบุ กินเนื้อวัวหรือแฮมเบอร์เกอร์ต่อชิ้นต่อวันจะช่วยลดภาวะโลกร้อน เพราะวัวมีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

         
(13กย.) วารสารการแพทย์ "แลนเซ็ต" ของอังกฤษรายงานผลการศึกษาหนึ่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ระบุว่า การบริโภคเนื้อวัว จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เพราะการลดจำนวนวัวจะช่วยลดปริมาณก๊าซมีเธนที่มันปล่อยออกมา ซึ่งก๊าซนี้อยู่ในกลุ่มก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน  

          รายงานชิ้นนี้ซึ่งจัดทำโดยคณะวิจัยนำโดยนายแอนโธนี แมคไมเคิล ศ.ของศูนย์ระบาดวิทยาและสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ระบุว่า หากทั่วโลกรับประทานเนื้อวัวเฉลี่ยวันละ 100 กรัมต่อคนต่อวัน ซึ่งในประเทศร่ำรวยอาจมากกว่าถึง 200-250 กรัม และประเทศยากจน  20-25 กรัมจะช่วยให้โลกลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 90 กรัมต่อวันภายในปี 2593 และหากประชากรในชาติร่ำรวยรับประทานแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้นต่อวันต่อคนจะช่วยลดเนื้อวัวทั่วโลกได้ถึง 10% ในปี 2593

          ผลการศึกษายังพบว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 22% จากทั้งหมดทั่วโลกมาจากเกษตรกรรม ซึ่งเท่ากับจำนวนก๊าซที่ปล่อยจากอุตสาหกรรม แต่มากกว่าก๊าซที่ปล่อยจากการคมนาคม และการผลิตในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งส่วนใหญ่คือก๊าซมีเธน คิดเป็นเกือบ 80% ของภาคการเกษตรทั้งหมด 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-09-13 17:08:20 IP : 124.121.136.130


ความคิดเห็นที่ 10 (1157901)

2007 น้ำแข็งมหาสมุทรอาร์กติก ละลายมากที่สุด

 

           สถานการณ์โลกร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือรุนแรงยิ่งขึ้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติสหรัฐ (National Snow and Ice Data Center-NSIDC) คาดการณ์ว่า ฤดูร้อนปี 2007 น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะละลายมากที่สุด น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกมีสองชนิดคือ คือหนึ่ง 

           น้ำแข็งถาวรหรือตลอดปี (Perennial ice) น้ำแข็งชนิดนี้มีความหนามากกว่า 3 เมตร และจะคงอยู่ตลอดทั้งปี โดยจะละลายไปบ้างในฤดูร้อนเพียงเล็กน้อยประมาณ 0.7% ต่อปีเท่านั้น และสอง
 

           น้ำแข็งตามฤดูกาล (Seasonal ice) น้ำแข็งชนิดนี้มีความหนา 0.3 - 2 เมตร โดยจะคงอยู่เฉพาะในฤดูหนาว ละลายในฤดูร้อน และกลับกลายมาเป็นน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่งในฤดูหนาว

           น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะเริ่มละลายในฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่เดือนเมษายน โดยจะละลายมากที่สุดในเดือนกันยายนซึ่งเป็นปลายฤดูร้อน และน้ำทะเลจะจับตัวเป็นน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่งในฤดูหนาว ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน โดยจะมีปริมาณน้ำแข็งมากที่สุดในเดือนมีนาคม การศึกษาของ NSIDC พบว่าปริมาณน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนลดลงอย่างมาก ตั้งแต่ปี 2001 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระหว่างปี 1979-2000 ซึ่งมีปริมาณน้ำแข็งเท่ากับ 7.7 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.96 ล้านตารางไมล์

           ปี 2005 เป็นปีที่น้ำแข็งฤดูร้อนในมหาสมุทรอาร์กติกละลายมากที่สุด โดยในเดือนกันยายนมีปริมาณน้ำแข็งเพียง 5.32 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.09 ล้านตารางไมล์ น้อยกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2.38 ล้านตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ดี ในปี 2006 น้ำแข็งฤดูร้อนเพิ่มขึ้นกว่าในปี 2005 โดยมีปริมาณเท่ากับ 5.9 ล้านตารางกิโลเมตรหรือ 2.3 ล้านตารางไมล์

           ส่วนน้ำแข็งฤดูหนาวมีปริมาณน้อยที่สุดในเดือนมีนาคม ปี 2006 คือ 14.5 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 5.6 ล้านตารางไมล์ น้อยกว่าค่าเฉลี่ยในระหว่างปี 1979-2000 ซึ่งเท่ากับ 15.7 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ6.1 ล้านตารางไมล์ ถึง 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร

           นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า สถิติน้ำแข็งน้อยที่สุดในฤดูร้อนปี 2005 กำลังจะถูกทำลายลง เพราะเพียงสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมปี 2007 ปริมาณน้ำแข็งฤดูร้อนในมหาสมุทรอาร์กติกมีน้อยกว่าในปี 2005 ณ ช่วงเวลาเดียวกัน โดยปริมาณน้ำแข็ง ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2007 เท่ากับ 5.8 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.24 ล้านตารางไมล์ และวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2007 เหลืออยู่ 5.4 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 2.1 ล้านตารางไมล์ และยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าจะสิ้นสุดฤดูร้อน

           มาร์ค เซอเรซ นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของ NSIDC อธิบายว่า ถ้าดูข้อมูลในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม จะพบว่ากราฟอยู่ต่ำกว่าในปี 2005  "ดังนั้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เช่นว่า บริเวณอาร์กติกเกิดเย็นขึ้นมาทันทีทันใดแล้วละก็ มันก็ยากที่จะไม่ทำลายสถิติก่อนหน้านี้" เขากล่าว

           น้ำแข็งที่ละลายเร็วขึ้นเป็นผลย้อนกลับ (Feedback) ต่อปัจจัยนำเข้า (Input) ของระบบน้ำแข็งในบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกที่เรียกว่า positive feedbacks ซึ่งค้นพบโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์วิจัยด้านบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐ (National Center for Atmospheric Research : NCAR) มหาวิทยาลัยวอชิงตัน และมหาวิทยาลัยแม็คกิลล์

           ผลย้อนกลับที่ว่านี้ก็คือ แผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปสู่อวกาศประมาณ 80% ปรากฏการณ์นี้ทำให้บริเวณขั้วโลกหนาวเย็นและยังลดอุณหภูมิของโลกลงด้วย แต่เมื่อน้ำแข็งละลายเป็นน้ำทะเล แทนที่น้ำทะเลจะสะท้อนแสงอาทิตย์มันกลับดูดกลืนแสงอาทิตย์ประมาณ 90% ทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรสูงขึ้น ซึ่งจะไปเร่งให้น้ำแข็งละลายเร็วขึ้น

           เมื่อปลายปี 2006 ทีมนักวิทยาศาสตร์สหรัฐเผยผลการศึกษาว่า มหาสมุทรอาร์กติกจะไม่มีน้ำแข็งอีกเลยภายในปี 2040 ในขณะที่สถานการณ์โลกร้อนบริเวณขั้วโลกเหนือเลวร้ายลง สถานการณ์โลกร้อนบริเวณป่าอเมซอน ประเทศบราซิลกำลังดีขึ้น เมื่อการทำลายป่าไม้ในป่าอะเมซอนในช่วงเวลาระหว่างเดือนสิงหาคมปี 2005-เดือนกรกฎาคมปี 2006 ลดลงประมาณ 25 %ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา


           บราซิลเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 1 พันล้านตัน และมากกว่า 75% มาจากการตัดไม้ทำลายป่า รัฐบาลบราซิลแถลงว่าเป็นเพราะนโยบายสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการป้องกันปราบปรามการลักลอบตัดไม้ที่ได้ผล ด้านนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างชื่นชมกับตัวเลขนี้ แต่เห็นว่ามันเป็นผลที่เกิดจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำและสภาพเศรษฐกิจด้วยที่ทำให้การตัดไม้ทำลายป่าลดลง

           ประธานาธิบดี ลูอิส อินาสิโอ ลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล กล่าวว่า ตัวเลขใหม่นี้แสดงให้เห็นการปกป้องสิ่งแวดล้อมและป่าอเมซอนก็ไม่ได้ขัดขวางบราซิลในการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกแต่อย่างใด และว่าการตัดไม้ทำลายป่าที่ลดลงนี้เป็นการป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 410 ล้านตัน และรักษาต้นไม้ไว้ได้ถึง 600,000 ต้น

           เขาเชื่อว่าเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมจะไปด้วยกันได้ "ความท้าท้ายซึ่งเราต้องเอาชนะก็คือการรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากป่าอย่างไรและจะปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างไร ขณะเดียวกัน ก็ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นด้วย"

           อย่างไรก็ตาม นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางคนก็แสดงความเป็นห่วงว่าการตัดไม้ทำลายป่าที่ลดลงนี้อาจเป็นเหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หากราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้น อย่างเช่นราคาถั่วเหลือง ก็จะทำให้การตัดไม้ทำลายป่าในป่าอเมซอนเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัยทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-09-17 12:44:05 IP : 124.121.138.218


ความคิดเห็นที่ 11 (1160854)

ก.ทรัพยากร ประกาศ "ทิศทางไทยสู้ภัยโลกร้อน

กระทรวงทรัพฯ ประกาศทิศทางไทยสู้ภัยโลกร้อน แจงเล็งเห็นปัญหาผลกระทบไร้พรมแดนและศักยภาพไทยในการเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เห็นพ้องเดินตามหลัก “พอเพียง” แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
       
       
หลังการระดมความคิดจากภาคส่วนต่างๆ ในสัมมนาทิศทางประเทศไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.นี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศ “ทิศทางไทยสู้ภัยโลกร้อน” เพื่อให้ทั้งภาครัฐและเอกชนดำเนินนโยบายและแนวปฏิบัติตามประกาศดังกล่าว
       
       “
ก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมการใช้พลังงาน ภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมคือต้นเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อน กอปรกับป่าไม้ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกถูกทำลายจึงเร่งให้เกิดสภาวะโลกร้อนยิ่งขึ้น แม้ไทยมิใช่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลกและไม่มีพันธะบนเวทีโลกที่จะต้องลดก๊าซเรือนกระจก แต่ไทยก็ไทยก็เห็นความสำคัญของผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอันเป้นปํญหาไร้พรมแดน” นายเกษมแจกแจง
       
       
ทั้งนี้แนวนโยบายและแนวปฏิบัติตามประกาศ “ทิศทางไทยสู้ภัยโลกร้อน” มีดังนี้
       
       
ด้านนโยบาย
       
ประเทศไทยจะส่งเสริมและสนับสนุนด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการดำเนินงานด้านต่างๆ ที่นำไปสู่การวิจัยและพัฒนาการใช้พลังงานสะอาด
       
การสร้างความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเกิดขึ้น การเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกและการสร้างองค์ความรู้ให้กับเยาวชนและประชาชนเพื่อให้ตระหนักและร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน และจะดำเนินการตามยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2550-2554
       
       
ด้านปฏิบัติ
       
ประเทศไทยจะดำเนินการโดยอาศัยหลักการพอเพียงในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรมและภาคป่าไม้และพื้นที่สีเขียว โดย
       
       
ภาคพลังงาน จะเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และภาคการคมนาคมขนส่งจะส่งเสริมการประหยัดพลังงานและลดสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ อีกทั้งจะดำเนินการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและภาคประชาชน
       
       
ภาคอุตสาหกรรม จะร่วมมือในการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการส่งเสริมการผลิตและการประกอบอุตสาหกรรมด้วยการใช้เทคโนโลยีสะอาดและทันสมัย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมให้ลดการใช้สารที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการใช้มาตรฐานสากลว่าด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นแนวทางปฏฺบัติ
       
       
ภาคเกษตรกรรม จะดำเนินการตามแผนบรรเทาภาวะโลกร้อนด้านการเกษตร พ.ศ.2550-2554 ซึ่งจะมีการสร้างองค์ความรู้อย่างบูรณาการ และการกำหนดทางเลือกในการปรับตัวต่อผลกระทบและทางเลือกในการลดก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะยึดถือแนวปฏิบัติเกษตรอินทรีย์เป็นสำคัญ
       
       
ภาคป่าไม้และพื้นที่สีเขียว จะเพิ่มแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกด้วยการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างจริงจัง โดยดำเนินโครงการตามแนวพระราชดำริด้านป่าไม้ รวมทั้งจะดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูตามมาตรการอื่นๆ มุ่งเน้นการปลูกป่าและรณรงค์เพิ่มพื้นที่สีเขียวในชุมชนเมือง

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-09-19 22:01:00 IP : 124.121.141.52


ความคิดเห็นที่ 12 (1162204)
กูรูชี้โลกร้อนทำให้โรคติดเชื้อเพิ่มขึ้น
19 กันยายน 2550.
       เอเอฟพี - ภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มจะทำให้โรคติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วโลก เพราะเชื้อไวรัส จุลินทรีย์ และพาหะนำโรค เจริญเติบโตได้ดีขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวเตือนในการประชุมทางการแพทย์เมื่อวันอังคาร(18)
       
       ปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้ว และเริ่มหนักหนาสาหัสในรอบทศวรรษที่ผ่านมา นักวิจัยในการประชุมของสมาคมจุลชีววิทยาแห่งอเมริกา ระบุ
       
       "หลายปีที่แล้ว เราอาจไม่ต้องพูดคุยกันในหัวข้อนี้" แอนโทนี แมคไมเคิล หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่อง "ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่อสุขภาพของมนุษย์" กล่าว
       
       "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์...กำลังคืบใกล้เข้ามารวดเร็วกว่าที่เราคาดกันไว้เล็กน้อย" แมคไมเคิล นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคนเบอร์รา ในออสเตรเลีย เผย
       
       ผู้เชี่ยวชาญยกตัวอย่าง โรคเวสต์ไนล์ไวรัส ว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันกว้างขวางขึ้นเพราะภาวะโลกร้อน
       
       เดิมทีโรคเวสต์ไนล์พบแต่ในทวีปแอฟริกา แต่ในปัจจุบันสามารถพบได้ทั่วแคนาดาและสหรัฐฯ โดยแมคไมเคิลให้เหตุผลว่า อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นในทวีปอเมริกาเหนือนับตั้งแต่ปี 1999 ทำให้ยุงต่างถิ่นที่เป็นพาหะไวรัสดังกล่าว เจริญเติบโตได้ดี
       
       จิม สลิวา โฆษกสมาคมจุลชีววิทยาแห่งอเมริกา เน้นย้ำว่า อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้เกิดวิกฤตด้านสุขภาพขึ้นได้
       
       "เรารู้ว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังจะเปลี่ยนแบบแผนของโรคติดเชื้อ" สลิวากล่าวในที่ประชุม ที่มีนักวิทยาศาสตร์และแพทย์เข้าร่วมราว 12,000 คน และเป็นการประชุมเรื่องจุลินทรีย์ก่อโรคที่ใหญ่ที่สุด
       
       เขายกตัวอย่างว่า "เชื้อมาลาเรียสายพันธุ์ในแถบป่าเขา จะเพิ่มสูงขึ้นต่อไป" พร้อมๆกับที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้น
       
       แมคไมเคิลยังทำนายว่า ในเขตร้อนอาจเกิด "ไข้หวัดใหญ่ตลอดทั้งปี"
       
       เขาบอกว่า แถบใกล้เส้นศูนย์สูตร "ไม่มีฤดูไข้หวัดใหญ่ระบาด ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่แบบร้อนชื้นก็จะขยายวงกว้างขึ้น และเราก็จะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่กันได้ตลอดทั้งปี
       
       ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า โรคต่างๆที่เกิดมากขึ้นจากภาวะโลกร้อน ได้ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปแล้วประมาณ 150,000 ถึง 5 ล้านคนต่อปี
       
       นอกเหนือจากภาวะโลกร้อนจะทำให้โรคมาลาเรียและไข้เลือกออกเพิ่มขึ้นแล้ว มันยังมีแนวโน้มจะเพิ่มความหนักหน่วงรุนแรงของอาการท้องร่วง คลื่นความร้อน ภัยแล้ง น้ำท่วม และภาวะการขาดสารอาหารอีกด้วย
       
       เพื่อป้องกันวิกฤตด้านสุขภาพที่เกิดจากภาวะโลกร้อน แมคไมเคิลระบุว่า นักวิจัยต้องเริ่มคิดถึงความเชื่อมโยงระหว่างกันของภูมิอากาศกับโรคติดเชื้อ
       
       "เราจะต้องคิดในแบบบูรณาการมากกว่านี้ (และ)ใช้มุมมองเชิงนิเวศวิทยามากขึ้น" เขากล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม แมคไมเคิลระบุว่า มีบางพื้นที่ซึ่งโรคติดเชื้ออาจจะลดความรุนแรงลง อันเป็นผลมาจากโลกร้อน
       
       "ในแถบแอฟริกาตะวันตก เป็นต้น อัตราของโรค(มาลาเรีย)น่าจะลดลง เพราะสภาวะในอนาคตกำลังจะร้อนเกินไปและแห้งแล้งเกินไปสำหรับยุง" เขากล่าว พร้อมบอกว่า ในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ปริมาณน้ำฝนในแถบซาฮาราของแอฟริกา ลดลง 25%

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-09-20 22:15:11 IP : 124.121.137.133


ความคิดเห็นที่ 13 (1165038)

ผู้ว่า กทม. ควบสองล้อร่วมรณรงค์ "คาร์ฟรีเดย์" ลดโลกร้อน

 

กทม.จัดโครงการ “วันปลอดรถ ลดโลกร้อน” เนื่องในวันคาร์ฟรีเดย์ ระดมจักรยานกว่า 1,200 คน แปรขบวนเป็นแผนที่ประเทศไทย รณรงค์ลดใช้รถยนต์ ประหยัดพลังงาน “อภิรักษ์” ย้ำ เดินหน้ารณรงค์ลดภาวะโลกร้อนตลอดทั้งปีนี้ต่อเนื่องปีหน้า ตั้งเป้าลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 15 ภายใน 5 ปี
       
       กรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน จัดโครงการ
“วันปลอดรถ ลดโลกร้อน” เนื่องในวันคาร์ฟรีเดย์ 22 กันยายน หรือ Bangkok Car Free Day 2007 โดยมีประชาชนและอาสาสมัครจำนวน 1,221 คัน สวมใส่เสื้อเหลือง แปรขบวนเป็นแผนที่ประเทศไทยสีเหลืองอร่าม และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย เสียงดังกึกก้องทั่วสนามศุภชลาศัย โดยมีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการ กทม. เป็นประธานเปิดงาน จากนั้น ได้ร่วมปั่นจักรยาน พร้อมศิลปินดารา และผู้ร่วมงานกว่า 2,000 คน เคลื่อนขบวนรณรงค์ไปตามถนนพระราม 1 พระราม 4 เยาวราช ราชดำเนินกลาง และสิ้นสุดที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการ กทม. ได้รับความสนใจจากประชาชาชน 2 ข้างทางอย่างมาก

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-09-22 22:20:47 IP : 124.121.141.194


ความคิดเห็นที่ 14 (1185008)

"สุรยุทธ์"  หารือโลกร้อนกับเลขาฯยูเอ็น



เมื่อวันที่ 27 กันยายน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 62 ที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า จะหารือแบบทวิภาคีกับนายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ เกี่ยวกับปัญหาสภาวะโลกร้อน เพื่อให้มีการกำหนดกรอบการทำงานในสหประชาชาติ และทุกประเทศ และนำรายละเอียดไปหารือในการประชุมสหประชาชาติที่บาหลี ปลายปี 2550 นี้ รวมทั้งจะขอความร่วมมือด้านเทคโนโลยีจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ในการพัฒนาพลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีต้นทุนสูง ให้ถูกลงและลดสภาวะโลกร้อน

ส่วนกรณีที่ นายจิรพล สินธุนาวา นักวิชาการสิ่งแวดล้อม ออกมาเตือนให้คนไทยระมัดระวังโรคภัยต่างๆ ในอีก 5-7 ปีข้างหน้า เพราะสภาวะโลกร้อนเข้าขั้นวิกฤตพร้อมทั้งแนะนำว่าช่วงนี้ไม่ควรมีลูกนั้น นายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคม พัฒนาประชากรและชุมชน กล่าวว่า คำแนะนำนี้น่าจะเหมาะกับเมื่อ 30 ปีที่แล้วที่ครอบครัวไทยมักมีลูกมาก เพราะภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีอัตราการเกิดที่ค่อนข้างต่ำคือ 0.5% เท่ากับว่าช่วยลดภาวะโลกร้อนได้มากกว่าประเทศอื่นที่ยังมีอัตราการเกิดที่สูงอยู่ และภาวะโลกร้อนไม่น่าจะเกี่ยวกับการมีลูก ความอยากมีลูกเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ห้ามกันไม่ได้

นายจิรพลกล่าวว่า ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามเรื่องภาวะโลกร้อน ยังยืนยันว่า หากไม่อยากเพิ่มภาระให้ตัวเอง ไม่อยากให้คนที่รักต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี ก็ให้ชะลอการมีลูกไว้ก่อนจนกว่าสิ่งแวดล้อมจะดีขึ้น

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-09-28 13:46:16 IP : 124.121.141.111


ความคิดเห็นที่ 15 (1189797)

4 นางสาวไทยร่วมเปิดตัวกระเป๋าผ้านาโน (เรียงซ้ายไปขวา) นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ หมิง -ชาลิสา บุญครองทรัพย์ เจี้ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ และ ปุ๋ม -ปนัดดา วงศ์ผู้ดี

สำนักนวัตกรรมเสริมเอกชนเปิดตัวกระเป๋าผ้านาโนป้องกันน้ำ ใช้แทนถุงพลาสติกในการจ่ายตลาด ต้านภาวะโลกร้อน เปิดตัวครั้งแรกในงานตลาดนัดนวัตกรรมเอาใจคนอินเทรนด์
       
       ทุกวันนี้ สินค้าที่บวกเสริมด้วยเทคโนโลยีดูจะเป็นของที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ร่วมกับบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัว “กระเป๋าผ้านาโน” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ณ โรงแรมสยามซิตี กรุงเทพฯ โดยมีนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รมช.อุตสาหกรรม เป็นประธาน
       
       ทั้งนี้ กระเป๋าผ้านาโนดังกล่าวผลิตขึ้นโดยการเคลือบฟิล์มบางอนุภาคนาโนของสารฟลูออโรพอลิเมอร์ (Fluoropolymer) ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำและเป็นชนิดเดียวกับที่ใช้เคลือบกระทะเทฟลอน (Teflon) ขนาด 90 -300 นาโนเมตรลงบนผืนผ้า ทำให้เนื้อผ้ากันน้ำ ไม่ดูดซับทั้งน้ำและน้ำมันคล้ายกลไกที่หยดน้ำสามารถกลิ้งบนใบบัวและใบบอนได้โดยผิวใบไม่เปียกน้ำ จึงทำความสะอาดได้ง่าย
       
       ผศ.ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ หน่วยวิจัยนาโนศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมว่า จากการทดลองซักผ้าดังกล่าวแล้ว คุณสมบัติกักน้ำของผ้ายังคงอยู่แม้จะผ่านการซักมากว่า 20 -50 ครั้ง ซึ่งคุณสมบัติดีของกระเป๋าดังกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ สามารถระบายอากาศภายในถุงได้ เนื่องจากการเคลือบฟิล์มบางไม่ได้ปิดกั้นการระบายของอากาศ ทำให้ผักและผลไม้ภายในกระเป๋าผ้าหายใจและคายน้ำได้ตามปกติ

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-10-02 19:25:38 IP : 124.121.136.225


ความคิดเห็นที่ 16 (1229795)
อาเซียนร่วมแบ่งปันข้อมูลแก้ปัญหาโลกร้อน
       มาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมแก้ปัญหาภาวะอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ซึ่งมีขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเรียกร้องให้สมาชิกอาเซียนร่วมแบ่งปันข้อมูล และแสวงหาแนวทางร่วมกันในการรับมือกับปัญหาดังกล่าว
        ทั้งนี้ แม้ประเทศกำลังพัฒนาจะมีส่วนน้อยมากในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำลายบรรยากาศโลก แต่ประเทศเหล่านี้กลับได้รับผลกระทบจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอากาศโลก มากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากขาดแคลนทรัพยากร เครื่องมือ และเทคโนโลยีในการจัดการกับปัญหาที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นผลกระทบอย่างร้ายแรง และกว้างขวาง
        การประชุมดังกล่าวมีขึ้นก่อนหน้าการประชุมใหญ่ว่าด้วยเรื่องอากาศโลก ของสหประชาชาติ ที่จะมีขึ้นที่เกาะบาหลี ในอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 3 - 13 ธันวาคมนี้

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-10-30 20:48:23 IP : 124.121.142.4


ความคิดเห็นที่ 17 (3206373)
and burrows into forests ugg for women ugg boot it is surprising to find such a trail in an immersive natural setting literally tucked into a suburban area ugg for sale ugg for sale
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (suajia-at-inbox-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-25 02:37:39 IP : 125.121.215.19


ความคิดเห็นที่ 18 (3213112)
uggs uggs shoes mules shoes mules woman boots woman boots ugg store ugg store
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (fxjnpc-at-ovi-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-21 21:16:38 IP : 125.118.233.198


ความคิดเห็นที่ 19 (3217305)
boots boots fake uggs fake uggs cheap ugg boots on sale cheap ugg boots on sale ugg ugg
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (bmldya-at-mail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-10-11 20:40:58 IP : 125.121.206.235


ความคิดเห็นที่ 20 (3220547)
A history of GHD locks straighteners Do you would like the accomplished journey abaft ghd The grownup secrets of how an all-around super brand name was born Nicely aboriginal issues aboriginal afore we get agitated away let"s get a handful of details straight GHD is really a British corporation as well as additional as that itกฏs a Yorkshire corporation "Flippin" eck" we apprehend you say and you"d be correct Becoming a correct Yorkshire company the journey of ghd (or Jemella Ltd are they"re accepted on a Sunday) is according to harder strategy at t"forefront of all-around curly hair care All of it began if the blow of us were just accepting around our millennium celebrations Because the aggregate hangovers cleared several people have been acquainted that a anarchy was just demography place an insurgence inside the head of hair affliction apple that was to banish bad hair canicule for suitable and actualize a movement that will go on to become in time a new adoration for head of hair! When the aboriginal bowl locks straightening adamant was accustomed inside UK cipher obtained anytime obvious annihilation like ghd ghd straighteners it Being an ex-hairdresser to get a prime salon Robert Powls the guy who happened up this expense possession knew a lot if it came to head of hair Convinced he was assimilating a winner he and two business enterprise ally acquired the rights to your item alleged it the appropriate hair day locks straightener ("GHD") and started trading To activate with loads of hairdressers anticipation they had been badinage if they reply the GHD curly hair straightener with a retail amount of about $100! It really is genuinely could have an attempt!
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (omeucc-at-qq-dot-com)วันที่ตอบ 2010-10-30 08:31:46 IP : 125.121.201.235


ความคิดเห็นที่ 21 (3221611)
A history of GHD locks straighteners Do you would like the accomplished journey abaft ghd The grownup secrets of how an all-around super brand name was born Nicely aboriginal issues aboriginal afore we get agitated away let"s get a handful of details straight GHD is really a British corporation as well as additional as that itกฏs a Yorkshire corporation "Flippin" eck" we apprehend you say and you"d be correct Becoming a correct Yorkshire company the journey of ghd (or Jemella Ltd are they"re accepted on a Sunday) is according to harder strategy at t"forefront of all-around curly hair care All of it began if the blow of us were just accepting around our millennium celebrations Because the aggregate hangovers cleared several people have been acquainted that a anarchy was just demography place an insurgence inside the head of hair affliction apple that was to banish bad hair canicule for suitable and actualize a movement that will go on to become in time a new adoration for head of hair! When the aboriginal bowl locks straightening adamant was accustomed inside UK cipher obtained anytime obvious annihilation like ghd ghd straighteners it Being an ex-hairdresser to get a prime salon Robert Powls the guy who happened up this expense possession knew a lot if it came to head of hair Convinced he was assimilating a winner he and two business enterprise ally acquired the rights to your item alleged it the appropriate hair day locks straightener ("GHD") and started trading To activate with loads of hairdressers anticipation they had been badinage if they reply the GHD curly hair straightener with a retail amount of about $100! It really is genuinely could have an attempt!
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (ixoscp-at-mail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-11-01 21:30:53 IP : 125.122.102.4



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 802/410 หมู่12 หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร : 02-990-0331 Copyright © 2010 All Rights Reserved.