ReadyPlanet.com


หลอดตะเกียบสู้โลกร้อน


ใช้หลอดตะเกียบสู้โลกร้อน ตามแผนเลิกหลอดไส้

 เพื่อชาติ-เซฟค่าไฟลดคาร์บอนฯ

 

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จัดทำโครงการเลิกหลอดไส้ใช้หลอดตะเกียบเบอร์ 5 ซึ่งได้รณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้หลอดตะเกียบ ทดแทนหลอดไส้ตลอดไป ทั้งนี้ เนื่องจากหลอดไส้เป็นหลอดที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าหลอดตะเกียบ 5 เท่า ให้แสงสว่างเพียง 10% ในขณะที่ 90% เป็นความร้อน ดังนั้น หากประชาชนหันมาใช้หลอดตะเกียบก็จะช่วยประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อนได้

 

 

 

ทั้งนี้ ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2550 กระทรวงพลังงานจึงได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเชิญชวนชาว กทม.เปลี่ยนหลอดไส้ ที่ตลาดประชานิเวศน์ 1 เพื่อให้เป็นตลาดปลอดหลอดไส้เป็นแห่งแรก ซึ่งหากผู้ค้าในตลาดประชานิเวศน์ 1 ร่วมใจเปลี่ยนหลอดไส้หันมาใช้หลอดตะเกียบ ทั้งตลาดที่มีอยู่ 125 หลอด ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณเดือนละ 4,500 หน่วย หรือคิดเป็นเงิน 15,000 บาท และจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 30,000 กิโลกรัมต่อปี

 

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com



ผู้ตั้งกระทู้ พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ :: วันที่ลงประกาศ 2007-05-12 13:46:58 IP : 124.121.136.79


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1137253)

เวทีกู้วิกฤตโลกร้อน ขานรับธุรกิจพลังงานทดแทน





นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์


ปัญหาโลกร้อนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไข แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงมาก นอกจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น โลกร้อนมาจากการเปลี่ยนแปลงของก๊าซ 5-6 ตัว ที่สำคัญคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กับมีเทน โดยเฉพาะมีเทนแม้จะมีปริมาณน้อยกว่า แต่ส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้สูงกว่าคาร์บอนฯถึง 21 เท่า แม้ว่าเราจะไม่สามารถหยุดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกได้ เพราะการปล่อยก๊าซมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการใช้พลังงานที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ทั้งการใช้น้ำมัน ถ่านหิน และไฟฟ้า แม้พฤติกรรมการกิน การทิ้งขยะก็มีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจก คนที่กินเนื้อวัวปล่อยมากกว่าคนที่กินมังสวิรัติ และแต่ละประเทศปล่อยออกมาไม่เท่ากัน สหรัฐมีการปล่อยถึง 19.68 ตันต่อคนต่อปี ขณะที่ไทยปล่อยประมาณ 3-4 ตันต่อคนต่อปี แต่เราสามารถที่จะลดการปล่อยได้

มาตรการสากลด้านพลังงานที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกยอมรับว่าสามารถลดการปล่อยก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี 4 เรื่อง คือ

1.การประหยัดพลังงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน

2.การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือ "อาร์พีเอส" แทนพลังงานฟอสซิล ทั้งน้ำมันและถ่านหิน ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องการปล่อยคาร์บอนเลย

3.การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ที่หลายประเทศกำลังให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เช่น ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส ขณะที่ประเทศที่หยุดการส่งเสริมไปก็กลับมาให้การส่งเสริมแล้ว เช่น สหรัฐมีการออกกฎหมายใหม่ และแก้กฎหมายเดิมเพื่อรองรับ

4.การค้นคว้าวิจัยหาเทคโนโลยีกำจัดคาร์บอน เช่น การปั๊มไปเก็บไว้ในหลุมก๊าซที่ขุดเจาะหมดแล้ว เป็นต้น

สำหรับพลังงานหมุนเวียนนั้น กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากของเสียมากที่สุด นอกจากจะได้พลังงานไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์ที่สำคัญมากในการแก้ปัญหาโลกร้อน กระทรวงชอบมากสุด ทั้งน้ำเสีย ขยะ วัสดุเหลือใช้ในการเกษตร เช่น แกลบ ชานอ้อย เศษไม้เหลือใช้ เดิมสิ่งเหล่านี้ต้องนำไปทิ้ง และเสียค่ากำจัดด้วย แต่ตอนนี้มีมูลค่ามหาศาล แกลบราคาสูงถึง 500-700 บาทต่อตัน กระทรวงจะส่งเสริมให้นำสิ่งเหล่านี้มาใช้ให้มากที่สุด โดยการให้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือ "Adder" จูงใจให้เอกชนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเหล่านี้เข้าระบบมากขึ้น เช่น ลม ขยะ ให้เพิ่ม 2.5 บาทต่อหน่วย รวมกับค่าไฟฟ้าปกติก็จะได้เป็น 5 บาทต่อหน่วย ขณะที่ชีวะมวลได้ 30 สตางค์ต่อหน่วย เพราะคิดว่าหากไม่ส่งเสริมก็สามารถเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เพียงแต่เร่งกระตุ้นให้เข้ามาเร็วขึ้น ส่วนน้ำได้ 40-50 สตางค์ต่อหน่วย แสงอาทิตย์ได้ 8 บาทต่อหน่วย


สำหรับการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดเล็กนั้น จะส่งเสริมการผลิตจากเขื่อนขนาดเล็กที่มีอยู่แล้วของกรมชลประทาน ไม่ต้องสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นผู้ดำเนินการ เพราะหากให้เอกชนดำเนินการจะไม่สะดวก เนื่องจากเป็นโครงการขนาดเล็ก ในปีนี้จะมีฟื้นฟู 25 แห่ง และดำเนินการในเขื่อนขนาดเล็กแห่งใหม่อีก 7 แห่ง แต่ไม่ใช่การสร้างเขื่อน เป็นเพียงการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเขื่อนที่มีอยู่แล้ว คาดว่าจะทำให้มีไฟฟ้าเพิ่มอีก 77 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ยังมีนโยบายใหม่ที่จะส่งเสริมคือ บริษัทจัดการพลังงาน หรือ "เอสโค่" ซึ่งบริษัทนี้จะเข้าไปลงทุนจัดการของเสีย น้ำเสีย ให้กับโรงงานด้วยการเปลี่ยนเป็นพลังงานก๊าซแล้วส่งขายคืนให้ โดยส่วนใหญ่บริษัทนี้จะเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด แล้วทำสัญญาภายในกี่ปีจะโอนระบบคืนให้ ส่วนนี้จะช่วยลดการลงทุนของภาครัฐได้ ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะได้ประโยชน์ในการกำจัดของเสีย มีพลังงานใช้ ลดต้นทุนการใช้พลังงานในการผลิต

ผู้ประกอบการยังสามารถซื้อขายคาร์บอนเครดิตตามโครงการ ซีดีเอ็ม DDM ให้กับประเทศที่พัฒนาแล้วตามพิธีสารเกียวโตได้ ซึ่งในปีนี้มีโรงงานที่ได้รับอนุมัติให้ขายแล้ว 7 โครงการ อยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 8 โครงการ เงินที่ได้จากส่วนนี้จะเข้าไปช่วยลดต้นทุนการลงทุนของแต่ละโครงการได้ เช่นโครงการผลิตไฟฟ้าจากทะลายปาล์ม ลงทุน 980 ล้านบาท สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ถึง 280 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่มีส่วนช่วยลดคาร์บอน โดยขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการตั้งองค์กรมหาชน ชื่อองค์กรบริหารก๊าซเรือนกระจกขึ้นมาเพื่ออนุมัติซีดีเอ็มโดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม ซีดีเอ็มใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงถือเป็นผลพลอยได้เท่านั้น ถึงมีตรงนี้กระทรวงก็ยังต้องให้การส่งเสริมต่อไป เพื่อเร่งให้การผลิตพลังงานทดแทนเร็วขึ้น ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี ระหว่างนั้นก็ต้องมีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่มาตรการของรัฐจะกระตุ้นให้โครงการต่างๆ เกิดเร็วขึ้น ฟาร์มหมู ขยะ ไบโอแก๊สภายใน 3 ปีต้องเข้าระบบ แต่ขยะอาจจะใช้เวลานานกว่านั้น เพราะมีความยุ่งยาก กระทรวงอาจจะต้องมีมาตรการส่งเสริมเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะพยายามแก้ปัญหาให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อรัฐบาลชุดใหม่ เช่น การขออนุญาตตั้งโรงงานที่ต้องมีใบอนุญาต 4 ใบ จะให้มารวมกันที่เดียว คือ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการพลังงาน ภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน

เชื่อว่าแม้ไม่มีรัฐบาลชุดนี้ นโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนก็ต้องทำต่อไป



ผลประโยชน์โครงการนี้ ยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเหมือนโครงการอื่นๆ เช่น ขยะ ขี้หมูเป็นต้น แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว และยังช่วยแก้ปัญหาการปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศโลก มีส่วนช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ยังขายคาร์บอนเครดิตได้ประมาณ 30-50 ล้านบาทต่อปี

 

 

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-08-31 10:03:45 IP : 124.121.135.210


ความคิดเห็นที่ 2 (1150953)
กทม.รณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ลดวิกฤติโลกร้อน
9 กันยายน 2550 

กทม.รณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ช่วยลดวิกฤติโลกร้อน “อภิรักษ์” ระบุหากทุกคนหันมาใช้ถุงผ้าเพียงสัปดาห์ละ 1 วัน จะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านถุง/ปี และจะช่วยลดค่าใช้จ่ายการเก็บขยะ 650 ล้านบาท/ปี

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยรองผู้ว่าฯ กทม. และรองปลัด กทม. รณรงค์ “ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ช่วยลดวิกฤติโลกร้อน” ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สนามกีฬาแห่งชาติ เพื่อปลุกจิตสำนึกสร้างความร่วมมือของภาคประชาชน โดยได้รณณงค์มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และต่อเนื่องทุกวันที่ 9 ของเดือน พร้อมกล่าวว่า ถุงพลาสติกมีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งถุงพลาสติก 1 ใบ ต้องใช้เวลาย่อยสลายถึง 450 ปี หากนำไปเผาก็จะทำให้เกิดสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งทำให้เกิดมลภาวะทำให้โลกร้อน และการใช้ถุงผ้าจะช่วยลดการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็ง และหากทุกคนหันมาใช้ถุงผ้าเพียงสัปดาห์ละ 1 วัน จะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านถุง/ปี

ทั้งนี้ ปัจจุบัน กทม.ต้องเก็บขยะมากถึง 85,00 ตัน/วัน เป็นถุงพลาสติกถึงร้อยละ 21 หรือ 1,800 ตัน/วัน ดังนั้น หากเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการเก็บขยะได้วันละ 1.78 ล้านบาท/วัน หรือคิดเป็น 650 ล้านบาท/ปี สำหรับการรณรงค์ในวันนี้ได้แบ่งเป็น 6 สาย ได้แก่ มาบุญครอง-โตคิว สยามดิสคัฟเวอรี่-สยามพารากอน สยามสแควร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ห้างคาร์ฟูร์ สาขาพระราม 4 และห้างโลตัส สาขาพระราม 4 ซึ่ง กทม.จัดเตรียมถุงผ้าไว้แจกประชาชน 30,000 ใบ นายอภิรักษ์ ยังกล่าวเชิญชวนเด็กและเยาวชนหันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก เพื่อฝึกให้เป็นนิสัยด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการ “ถุงผ้าลดโลกร้อน” โดยอัญเชิญถุงผ้าส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มาจัดแสดงด้วย อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากบุคคลสำคัญหลากหลายอาชีพ นำถุงผ้ามาร่วมจัดนิทรรศการด้วย

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-09-09 20:43:53 IP : 124.121.140.73


ความคิดเห็นที่ 3 (1233129)

วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10827


สวีเดนเก็บข้อมูลน้ำพิษโลกร้อน


ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สสนก. กล่าวภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง "งานวิจัยและการศึกษาทางด้านการบริหารทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ" ระหว่าง สสนก.และองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ Network for Integrated Transboundary Water Resrarch (NITWAR) หรือนิทวาร์ ประเทศสวีเดน ว่า ปัจจุบันทั่วโลกรับทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับโลกร้อน แต่ยังไม่มีใครทราบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในแต่ละประเทศอย่างชัดเจน มีเพียงการศึกษาของต่างประเทศที่พบว่าประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตร รวมทั้งประเทศไทยคาดว่าจะเป็นบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนน้อย จึงทำให้หลากหลายประเทศสนใจเข้ามาศึกษาพื้นที่ในภูมิภาคดังกล่าว เพราะเชื่อว่าจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำในอนาคต

ดร.รอยลกล่าวอีกว่า ขณะที่ประเทศไทยกลับไม่มีการศึกษาเรื่องดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถประเมินถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ได้ การป้องกันหรือแนวทางแก้ไขก็จะเลือนรางด้วย ซึ่งการจะรวบรวมข้อมูลเพื่อทำเป็นโปรแกรมในการประเมินผลกระทบจากภาวะโลกร้อนสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะข้อมูลอุณหภูมิน้ำทะเล

 

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย วันที่ตอบ 2007-11-01 19:52:23 IP : 124.121.141.81


ความคิดเห็นที่ 4 (2903657)

สาเหตุโลกร้อนมาจากพวกเราทุกคน

ผู้แสดงความคิดเห็น พรภพ เด็กคนหนึ่งในเมืองไทย วันที่ตอบ 2008-09-06 09:52:01 IP : 114.128.27.239


ความคิดเห็นที่ 5 (3132060)

ท่านพูดไม่ผิดครับ..........มนุษย์นี่แหละตัวร้าย....ที่สุด

www.waddeeja.com

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-11-25 19:23:08 IP : 124.121.138.47


ความคิดเห็นที่ 6 (3135426)

เร่งวิจัยการหายใจของผื่นป่าไทย เตรียมรับมือมหันตภัย"โลกร้อน"

 

พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของป่า ถือได้ว่าเป็นแหล่งที่มีการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) และเปลี่ยนให้กลายเป็นออกซิเจนที่บริสุทธิ์ให้กับมนุษย์

ทว่าด้วยผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้ป่ากลายเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อน ไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก

ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ในอนาคตหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้ป่าปลดปล่อยคาร์บอนที่เก็บสะสมไว้ออกมาจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจึงเร่งศึกษาอัตราการปล่อย CO2 จากป่าเพื่อเฝ้าระวังการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว

สำหรับในประเทศไทย ขณะนี้ทางบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ได้เริ่มสนับสนุนให้มีการศึกษาการปล่อย CO2 ในพื้นที่ป่าแล้ว โดยได้เลือกพื้นที่ป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าที่มีพื้นที่ครอบคลุมมากเป็นอันดับสามในประเทศไทย

 


นายพงษ์เทพ หาญพัฒนากิจ นักศึกษาปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ผู้ทำการศึกษาการวัดอัตราการปล่อย CO2 จากการหายใจของรากและจุลินทรีย์ในดินป่าเต็งรัง กล่าวว่า การดูดซับ CO2 ในป่าเกิดจากการสังเคราะห์แสงเพื่อผลิตอาหาร สร้างเนื้อไม้ กิ่ง ก้าน ลำต้น และส่วนต่างๆ ของพืช ในขณะที่การปลดปล่อย CO2 เกิดจากการหายใจของพืช และสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่อยู่ในป่า

ทั้งนี้มีข้อมูลว่า การหายใจจากป่าส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตบริเวณผิวดินหรือประมาณร้อยละ 80 ของการหายใจจากสิ่งมีชีวิตในป่าทั้งหมด ดังนั้นงานวิจัยจึงได้ทำการ ศึกษาการหายใจของสิ่งมีชีวิตผิวดิน ซึ่งประกอบด้วยรากพืช จุลินทรีย์ และสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งโดยปกติการหายใจเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก การ ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณการหายใจ และความสัมพันธ์กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในการคาดการณ์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อระบบนิเวศป่าไม้ ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องมาถึงสังคมมนุษย์ด้วย

"การเก็บข้อมูลอัตราการหายใจบริเวณผิวดินทำโดยการติดตั้งเครื่องมือวัดความเข้มข้นของ CO2 บริเวณผิวดิน ในพื้นที่ป่าเต็งรัง จังหวัดราชบุรี พื้นที่ประมาณ 187.2 เฮกเตอร์ (hectare) และทำการเก็บข้อมูลต่อเนื่องทุกชั่วโมงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อให้ทราบข้อมูลทางด้านปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการหายใจที่ผิวดิน เช่น อุณหภูมิดิน อากาศ และความชื้นในดิน"

"ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าความชื้นในดินที่เพิ่มขึ้นมีผลให้การหายใจผิวดินเพิ่มขึ้นโดยพบการปล่อย CO2 เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ในช่วงที่มีความชื้นในดิน หรือมีปริมาณน้ำฝนมาก (16-22%water-fill pore space) และการหายใจผิวดินจะลดลงเมื่ออุณหภูมิในดินสูงขึ้น (30-35oC) อาจเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิต ในดินจะลดกิจกรรมลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้การหายใจลดลงตามไปด้วย" นายพงษ์เทพกล่าว

 


เขา อธิบายว่า ทั้งนี้จากการวัดการหายใจของป่าเต็งรังระยะเวลา 1 ปี พบอัตราการปล่อย CO2 จากป่าเต็งรัง ประมาณ 8 ตัน คาร์บอน/เฮกแตร์/ปี หรือ 3.06 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์/ตารางเมตร/ปี โดยเป็นการหายใจของรากพืชประมาณ 35% และการหายใจของจุลินทรีย์ 65%

อย่างไรก็ดี ข้อมูลการศึกษาดังกล่าวจะเป็นข้อมูลสำคัญในการคำนวณการปล่อย CO2 จากป่าเต็งรังทั้งหมดในประเทศไทย เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ที่จำเป็นต้องทำเพื่อนำเสนอแก่ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC)

นอกจากนี้ ข้อมูลที่ทำการศึกษานี้ยังสามารถเป็นตัวแทนของป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าเขตร้อนแบบหนึ่งของโลก รวมไปถึงยังเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญสำหรับประเทศไทย ในการพัฒนาแบบ จำลองพยากรณ์ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อผืนป่า เพื่อใช้สำหรับตั้งรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อนาคตได้อีกด้วย

SCOOP@NAEWNA.COM

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)

www.waddeeja.com

Tel.02-990-0331

0712520746

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-12-07 07:46:19 IP : 124.121.136.12


ความคิดเห็นที่ 7 (3138518)

ลดก๊าซเรือนกระจก งานหินเพราะถ่านหิน

เอเอฟพี เขม่าควันจากโรงเผาถ่านหิน ซึ่งปกคลุมเมืองหลินเฝิน, มณฑลซันซี ทางภาคเหนือของจีนอยู่ชั่วนาตาปีคือความจริง ที่กำลังสร้างความอึดอัดลำบากใจแก่รัฐบาลจีน หลังจากได้ลั่นวาจากับชาวโลกแล้วว่าจีนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครั้งใหญ่
หลินเฝิน ซึ่งมีประชากร 3 ล้าน 3 แสนคน ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีมลพิษในอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เนื่องจากตั้งอยู่ในมณฑล ซึ่งเป็นแหล่งผลิตถ่านหินใหญ่ที่สุดของประเทศ และผลิตพลังงานป้อนถึงร้อยละ 70 ของความต้องการใช้พลังงานทั่วแดนมังกร
       
       
เมืองแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินหลายแห่ง ซึ่งการเผาถ่านหินทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนในอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
       

       “
ผู้คนที่นี่มากมายเชื่อกันว่าข้อตกลงที่แข็งจริง ๆ ในการประชุมซัมมิตที่กรุงโคเปนเฮเก้นจะช่วยเมืองหลินเฝินต่อสู้กับปัญหามลพิษได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่รัฐบาลของเราเป็นผู้ตัดสินใจชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในจีนแทบไม่มีปากเสียงในเรื่องเหล่านี้นายฉี เป่า เจ้าของร้านขายคอมพิวเตอร์ในเมืองกล่าว
       
       
ขณะนี้ จีนกำลังพยายามดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน แต่หลายมณฑล ซึ่งรวมทั้งซันซี รู้ดีว่าเป็นเรื่องยากลำบากมาก เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นตัวกดดันอย่างหนัก ขณะเดียวกันจีนยังคงตั้งเป้าเพิ่มการผลผลิตถ่านหินในอนาคตอีกด้วย
       
       
จีนผลิตถ่านหินได้ 2,700 ล้านตันในปีที่แล้ว และผลิตเพิ่มขึ้นในปีนี้ จากตัวเลขของทางการ โดยรัฐบาลกรุงปักกิ่งตั้งเป้าเพิ่มการผลิตอีกร้อยละ30 ภายในปี2558 หรือในอีก6 ปีข้างหน้า
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า จากอัตราดังกล่าวย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนของจีนจะเพิ่มสูงเกือบ 2 เท่าภายในปี 2563 หรือในอีก 11 ปีข้างหน้า และสำหรับภูมิภาคอันยากจนแห่งนี้แล้ว รายได้ที่เข้ามาและการสร้างงานต้องแลกด้วยต้นทุนของการสำลักควันจนหายใจไม่ออกของชาวเมือง และการถูกทำลายของระบบนิเวศ
       
       
ทุกวันนี้ ชาวเมืองต้องใส่หน้ากากอนามัย เมื่อเดินทางออกจากบ้าน ถนนหนทางและสนามบินต้องปิดทำการอยู่เป็นประจำ เพราะทัศนวิสัยไม่ดี โดยมองเห็นได้ไกลไม่กี่เมตร ขณะที่ประชาชนมีอาการแสบตา เจ็บคอ ตามมือและใบหน้ามีฝาสีดำจากเขม่าควันจับอยู่
       

       
ในปี2549 สถานบันแบล็กสมิท (Blacksmith Institute) ซึ่งเป็นกลุ่มประเมินด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่แสวงผลกำไร ตั้งอยู่ที่นิวยอร์ก ได้จัดอันดับให้หลินเฝินเป็นเมือง ที่มีมลพิษในอากาศมากที่สุดในโลก และเพิ่งลงมาอยู่ที่อันดับ 2 ในการประเมินครั้งล่าสุดเมื่อปี 2550
       
       “
ประชาชนในเมืองหลินเฝินได้รับผลกระทบอย่างมากมายจากมลพิษที่ปล่อยจากการทำเหมืองถ่านหิน และโรงงานผลิตต่าง
       
       “
พวกแพทย์เห็นผู้ป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม และมะเร็งปอดเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที ซึ่งล้วนเป็นผลจากมลพิษที่หนาแน่นมากในอากาศ อัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งก็สูงด้วยแบล็กสมิทระบุในรายงาน
       
       
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้พยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุที่เหมืองถ่านหินบ่อยครั้งจนเป็นข่าวครึกโครม และจากการเผยแพร่รายงานของแบล็กสมิทสู่สาธารณชน ทางการเมืองหลินเฝิงจึงได้สั่งปิดเหมืองถ่านหินขนาดเล็กเกือบ 3,700 แห่ง รวมทั้งปิดโรงงานและเตาหลอมโลหะ ที่ปล่อยมลพิษอีกจำนวนหนึ่งด้วย
       
       
ขณะเดียวกันเดเบอราห์ เซลิกซอห์น ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานของสถาบันเวิล์ด รีซอร์ซส์ (World Resources Institute) ในกรุงปักกิ่งยังระบุว่า ขณะนี้จีนกำลังปรากฏตัวเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ที่มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าชาติใด โรงงานเช่นนี้มีอยู่ในหลินเฝินด้วย นอกจากนั้น ยังมีแผนสร้างเตาหลอม ที่ประสิทธิภาพสูงมาแทนที่เตารุ่นเก่า ที่ปล่อยมลพิษด้วยเช่นกัน       

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)

www.waddeeja.com

Tel.02-990-0331

1712521852

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-12-17 18:52:19 IP : 124.121.143.254


ความคิดเห็นที่ 8 (3144875)

ที่มาอากาศโลกแปรปรวน เตือน"ไทย"เตรียมรับมือภัยแล้ง


ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสภาพภูมิอากาศชั้นแนวหน้าของไทย อธิบายภาวะสภาพอากาศทั่วโลกแปรปรวนช่วงปีใหม่ รวมถึงสาเหตุที่ฝนตกหนักช่วงหน้าหนาวในประเทศไทย พร้อมกับพยากรณ์ว่า วันที่ร้อนที่สุดจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ และเตือนให้รับมือภัยแล้ง

ผศ.ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (ศรภอ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศในปัจจุบัน ที่ส่งผลให้หลายพื้นที่ทั่วโลกมีอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ ว่า

สภาพอากาศดังกล่าวเกิดจากความแปรปรวนของขั้วโลกเหนือในเขตมหาสมุทรอาร์กติก ส่งผลให้แนวปะทะของมวลอากาศแกว่งตัวแรงกว่าปกติ จึงทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในซีกโลกเหนือหนาวเย็นกว่าปกติหลายเท่า จากเดิมเป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิติดลบก็จะยิ่งติดลบมากขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย



โดยครั้งนี้ถือว่าหนาวเย็นที่สุดในรอบ 40-50 ปี

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แน่ชัดยังไม่สามารถอธิบายได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าอาจมาจากความไม่สมดุลของความร้อนระหว่างมหาสมุทรและแผ่นดิน ส่วนที่ว่ามีสาเหตุมาจากภาวะโลกร้อนหรือไม่ ยังไม่มีข้อมูลวิชาการยืนยัน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นแค่ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น หลังจากนั้นจะเข้าสู่ภาวะปกติ



ผศ.ดร.อานนท์ ให้ความรู้ด้วยว่า สำหรับประเทศไทย ในทางกลับกันความเปลี่ยนแปลงของอากาศทำให้หน้าหนาวของไทยเกิดภาวะฝนตก เนื่องจากลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมวลอากาศร้อนชื้นเข้ามาประเทศไทย ทำให้มวลอากาศเย็นหดตัวขึ้นไปทางเหนือ ส่งผลให้เกิดฝนตกกระจายในบางพื้นที่

แต่ประกฎการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา และจะกลับเข้าสู่หน้าหนาวอีกครั้งตลอดเดือนมกราคม 2553 ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเย็นลงกว่าปัจจุบันเล็กน้อย

"ประเทศไทยไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวเย็นมากเหมือนประเทศซีกโลกเหนือ เพราะเราเป็นประเทศเขตร้อน ปัญหาที่ไทยจะเจอแน่ๆ คือ ปรากฏการณ์ "เอลนินโญ่" ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 40-42 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครน่าจะเกิน 40 องศาเซลเซียส โดยช่วงที่ร้อนที่สุดจะอยู่ระหว่างเดือนมีนาคมไปจนถึงเมษายน และวันที่ร้อนที่สุด คือ วันที่ 22 เมษายน ดังนั้น ปีนี้ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับภาวะร้อนแล้ง มากกว่าจะไปกังวลเรื่องหนาวของซีกโลกเหนือ" ผศ.ดร.อานนท์ กล่าว

 

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -  

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ

สมาคมคนพิการ

1101531922

*********************

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2010-01-11 19:22:28 IP : 124.121.140.180


ความคิดเห็นที่ 9 (3206155)
men"s handbag reliableone of these things are the handbag paris catherine the family louis vuitton handbags the popularity of the replica louis vuitton women"s louis vuitton handbag handba men"s handbags for sale
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (lpvyfm-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-25 01:23:39 IP : 125.121.215.19


ความคิดเห็นที่ 10 (3212975)
shoes mens boots shoes mens boots fake uggs fake uggs discount ugg boots discount ugg boots uggs uggs
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (naashl-at-hushmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-09-21 19:38:59 IP : 125.118.233.198


ความคิดเห็นที่ 11 (3220442)
Your Guide For Shopping for GHD Hair Straighteners The trend of curly hair straightening has grown to be incredibly common these days and majority of females really like to straighten their hair follicles Within the past it was prevalent to straighten the hair only on special events but at present women favor to straighten their hair follicles everyday to look elegant and attractive It truly is observed that curly hair are damaged mainly because of exposure towards the heat in the straightener so it truly is needed to go through all safety measures which will decrease the dangerous impacts of hair ghd straighteners You will discover different varieties of curly hair straighteners that have diverse capabilities so the choice from the most ideal locks straightener is essential in accordance for the type of hair follicles to be able to avoid the damaging effects ghd locks straightener may be the very best straightener that delivers quite a few advantageous capabilities You will discover diverse models of GHD hair straighteners that happen to be appropriate for certain sorts of head of hair GHD IV styler would be the most acceptable tool that could be employed for all types of curly hair GHD IV salon styler is helpful for thick curly hair It has wider plates that make it uncomplicated to straighten the curly hair in brief duration of time For those having brief locks GHD IV mini styler would be the ideal choice to purchase and it can create waves or curls too For getting GHD curly hair straightener it really is far better to evaluate the attributes and prices to select 1 that is according to personal demands There are many accessories that purchaser can obtain with the straightener so ahead of getting GHD hair follicles straightener the data about all equipment need to be taken There are lots of GHD locks straighteners that are created in different colors The shade of your straightener has nothing to do with its attributes People can select any color of their choice Just before acquiring GHD curly hair straightener it can be essential to be certain that it offers the warranty of two years There are some pretend GHD locks straighteners readily available inside markets so the buyer should make certain that the product he/she is acquiring is original If the GHD hair follicles straightener is bought from a reputable retailer then it will not be a pretend straightener Cautious inspection just before shopping for the straightener lessens the dangers of shopping for a fake straightener
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 วันที่ตอบ 2010-10-30 02:08:44 IP : 125.121.201.235


ความคิดเห็นที่ 12 (3221384)
A history of GHD locks straighteners Do you would like the accomplished journey abaft ghd The grownup secrets of how an all-around super brand name was born Nicely aboriginal issues aboriginal afore we get agitated away let"s get a handful of details straight GHD is really a British corporation as well as additional as that itกฏs a Yorkshire corporation "Flippin" eck" we apprehend you say and you"d be correct Becoming a correct Yorkshire company the journey of ghd (or Jemella Ltd are they"re accepted on a Sunday) is according to harder strategy at t"forefront of all-around curly hair care All of it began if the blow of us were just accepting around our millennium celebrations Because the aggregate hangovers cleared several people have been acquainted that a anarchy was just demography place an insurgence inside the head of hair affliction apple that was to banish bad hair canicule for suitable and actualize a movement that will go on to become in time a new adoration for head of hair! When the aboriginal bowl locks straightening adamant was accustomed inside UK cipher obtained anytime obvious annihilation like ghd ghd straighteners it Being an ex-hairdresser to get a prime salon Robert Powls the guy who happened up this expense possession knew a lot if it came to head of hair Convinced he was assimilating a winner he and two business enterprise ally acquired the rights to your item alleged it the appropriate hair day locks straightener ("GHD") and started trading To activate with loads of hairdressers anticipation they had been badinage if they reply the GHD curly hair straightener with a retail amount of about $100! It really is genuinely could have an attempt!
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (eqvyzx-at-sina-dot-com)วันที่ตอบ 2010-11-01 18:37:49 IP : 125.122.102.4



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 802/410 หมู่12 หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร : 02-990-0331 Copyright © 2010 All Rights Reserved.