ReadyPlanet.com


คนพิการไทน...สนใจการเมือง


เรื่องใหญ่ของคนไทย  

               
น่าเห็นใจไม่ว่าพรรคไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาลในยามนี้ ทั้งปัญหาความแตกแยก แบ่งค่ายความเห็นในหมู่ประชาชน จนถึงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่วิตก

ดีที่รัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์รับรู้ถึงความรู้สึกของชาวบ้านได้ไว และได้มากกว่าการได้มาซึ่งอำนาจใหม่ โดยการประกาศถึงเรื่องการไม่มีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ การทำงานหนัก เพื่อทำให้ชาวบ้านมีความสุขดังที่พระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งเมื่อครั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าวันก่อน และฯลฯ

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯคนใหม่มีพูดถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรให้คนที่อยู่ในภาคเกษตรได้ชื่นใจได้บ้าง แม้จะยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือจากการทำงานจริง

คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานบริหารเครือซีพี ยังยืนอยู่บนทิศทางเดิมคือสินค้าเกษตรสูง และเงินเดือนสูง เรื่องหลังเป็นอย่างไรไม่รู้ เอาเรื่องแรกก่อนว่า ราคาสินค้าเกษตรที่ต่ำเอาๆจะทำไงให้โงหัวขึ้นมาได้มั่ง

อย่างเรื่องข้าวที่เจ้าสัวแนะว่า รัฐบาลที่แล้วไม่น่ารีบขายออก 2 ล้านตัน เพราะยิ่งกดดันราคาให้ต่ำลง น่าจะเก็บสต็อกไว้ มันก็เป็นเรื่องเข้าใจกันได้ แต่จะสต็อกกันอย่างไร และด้วยวิธีไหนที่ทำให้เกิดผลจริงๆ

เพราะที่ผ่านมาเก็บสต็อกไว้จริง แป๊บเดียวกลายเป็นสต็อกลมหวเรอกันไปตามๆกัน เราจะทำยังไงให้สต็อกกลายเป็นสต็อกแท้จริง ทุกวันนี้ให้โรงสี ให้โรงยาง เก็บสต็อกก็กลายเป็นสต็อกให้พ่อค้าเอาไปหมุนเวียนใช้ก่อน พอเคลียร์สต็อกเมื่อไหร่ เรื่องก็แดงเมื่อนั้น

ถ้าสต็อกจริง มีมาตรการควบคุมดูแลรัดกุมจริงๆ สินค้าเกษตรหลายตัวของไทยเราก็น่าสต็อกได้ แถมทำแล้วรัฐไม่ขาดทุนเหมือนอย่างทุกวันนี้

นักการเมืองไทยไม่มีใครสนใจทำเรื่องนี้จริงจัง เพราะเท่ากับเป็นการปิดประตูทุจริตของตัวเองและพรรคพวก ที่จ้องสูบตั้งแต่การรับจำนำ การสต็อก กระทั่งการทำสต็อกแท้ให้เป็นสต็อกลม นี่ล้วนเป็นฝีมือของนักการเมืองทั้งสิ้น

ทุกวันนี้ประชาชนเฝ้าจ้องมองกันว่า เมื่อไหร่นักการเมืองเสนอโครงการอะไร ประชาชนก็มักมีข้อสรุปในใจกันว่า เมื่อนั้นนักการเมืองกำลังถอนทุนคืน

คำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์บอกว่าจะขจัดการคอร์รัปชั่นนั้น มันไม่ได้ต่างจากนายกฯคนอื่นรวมถึงนายกฯทักษิณที่เน้นถึงขนาดไม่มีใบเสร็จก็ยังจะเช็กบิลรัฐมนตรีคนนั้น ไปๆมาๆคุณทักษิณก็ตายด้วยคำพูดตัวเองจนถึงวันนี้

เรื่องอย่างนี้ยิ่งใหญ่เสมอในสังคมไทยครับ

พอใจ สะพรั่งเนตร
น่าเห็นใจไม่ว่าพรรคไหนขึ้นมาเป็นรัฐบาลในยามนี้ ทั้งปัญหาความแตกแยก แบ่งค่ายความเห็นในหมู่ประชาชน จนถึงเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่วิตก

ดีที่รัฐบาลที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์รับรู้ถึงความรู้สึกของชาวบ้านได้ไว และได้มากกว่าการได้มาซึ่งอำนาจใหม่ โดยการประกาศถึงเรื่องการไม่มีเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ การทำงานหนัก เพื่อทำให้ชาวบ้านมีความสุขดังที่พระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งเมื่อครั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้าเฝ้าวันก่อน และฯลฯ

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯคนใหม่มีพูดถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรให้คนที่อยู่ในภาคเกษตรได้ชื่นใจได้บ้าง แม้จะยังไม่เห็นฝีไม้ลายมือจากการทำงานจริง

คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานบริหารเครือซีพี ยังยืนอยู่บนทิศทางเดิมคือสินค้าเกษตรสูง และเงินเดือนสูง เรื่องหลังเป็นอย่างไรไม่รู้ เอาเรื่องแรกก่อนว่า ราคาสินค้าเกษตรที่ต่ำเอาๆจะทำไงให้โงหัวขึ้นมาได้มั่ง

อย่างเรื่องข้าวที่เจ้าสัวแนะว่า รัฐบาลที่แล้วไม่น่ารีบขายออก 2 ล้านตัน เพราะยิ่งกดดันราคาให้ต่ำลง น่าจะเก็บสต็อกไว้ มันก็เป็นเรื่องเข้าใจกันได้ แต่จะสต็อกกันอย่างไร และด้วยวิธีไหนที่ทำให้เกิดผลจริงๆ

เพราะที่ผ่านมาเก็บสต็อกไว้จริง แป๊บเดียวกลายเป็นสต็อกลมหวเรอกันไปตามๆกัน เราจะทำยังไงให้สต็อกกลายเป็นสต็อกแท้จริง ทุกวันนี้ให้โรงสี ให้โรงยาง เก็บสต็อกก็กลายเป็นสต็อกให้พ่อค้าเอาไปหมุนเวียนใช้ก่อน พอเคลียร์สต็อกเมื่อไหร่ เรื่องก็แดงเมื่อนั้น

ถ้าสต็อกจริง มีมาตรการควบคุมดูแลรัดกุมจริงๆ สินค้าเกษตรหลายตัวของไทยเราก็น่าสต็อกได้ แถมทำแล้วรัฐไม่ขาดทุนเหมือนอย่างทุกวันนี้

นักการเมืองไทยไม่มีใครสนใจทำเรื่องนี้จริงจัง เพราะเท่ากับเป็นการปิดประตูทุจริตของตัวเองและพรรคพวก ที่จ้องสูบตั้งแต่การรับจำนำ การสต็อก กระทั่งการทำสต็อกแท้ให้เป็นสต็อกลม นี่ล้วนเป็นฝีมือของนักการเมืองทั้งสิ้น

ทุกวันนี้ประชาชนเฝ้าจ้องมองกันว่า เมื่อไหร่นักการเมืองเสนอโครงการอะไร ประชาชนก็มักมีข้อสรุปในใจกันว่า เมื่อนั้นนักการเมืองกำลังถอนทุนคืน

คำพูดของนายกฯอภิสิทธิ์บอกว่าจะขจัดการคอร์รัปชั่นนั้น มันไม่ได้ต่างจากนายกฯคนอื่นรวมถึงนายกฯทักษิณที่เน้นถึงขนาดไม่มีใบเสร็จก็ยังจะเช็กบิลรัฐมนตรีคนนั้น ไปๆมาๆคุณทักษิณก็ตายด้วยคำพูดตัวเองจนถึงวันนี้

เรื่องอย่างนี้ยิ่งใหญ่เสมอในสังคมไทยครับ

พอใจ สะพรั่งเนตร                                                          

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ                

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2912512030     

 



ผู้ตั้งกระทู้ พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2008-12-29 20:29:49 IP : 124.121.138.41


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2954972)

สื่อมวลชนไทยเอ๋ย (บทความที่ผู้ล้ำยุคควรอ่าน)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์                                                                       

โดย รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง,รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย


       ความเชื่อมโยงความรู้ของมนุษยชาติ
       จะก่อให้เกิดการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่

       
       ปราชญ์นิรนาม


       
       Thomas L. Friedman ในปี 2005 ได้แสดงทัศนคติของเขาว่า โลกใบนี้แบนจากหนังสือที่ขายดีที่สุดของเขาเล่มหนึ่งคือ The World is Flat: A Brief History of the Twenty-First Century ฉบับแปลภาษาไทยว่า ใครว่าโลกกลมที่ผู้เขียนคิดว่าคนไทยควรอ่านมากที่สุดเล่มหนึ่งเพื่อที่จะได้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้
       
       อันที่จริงคนที่ชื่อ Friedman มีที่โด่งดังอยู่หลายคน เช่น Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของChicago Schoolเจ้าของรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์เมื่อหลายปีก่อน รวมถึงบุตรชายของเขา David Friedmanที่จบการศึกษาด้านฟิสิกส์แต่มาสอนกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ หรือ Benjamin Friedman ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard แต่นาย Thomas L. Friedman คนนี้เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
       
       แนวคิดว่าโลกใบนี้แบนของนาย Thomas L. Friedman มีที่มาจากการที่โลกของมนุษยชาติในปัจจุบันมีข้อจำกัด หรือข้อกีดขวางลดน้อยลงไปเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากเกิดการรวมกันมากขึ้น ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่า สิ่งกีดขวางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์ หรือโอกาสต่างๆ ของมนุษย์จะลดน้อยลงไป อันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี ทำให้การสื่อสารถึงกันของคนบนโลกนี้ทำได้สะดวกมากขึ้น
       
       การสื่อสารที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้าที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันในราคาถูกของคนในโลกปัจจุบัน ทำให้เกิดการไหลเข้า- ออกของปัจจัยการผลิต เกิดการแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศ ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น outsourcing การนำเอางานในองค์กรไปให้ข้างนอกทำเนื่องจากถูกกว่า offshoringการไปตั้งหน่วยผลิตนอกพรมแดนตนเองเพื่อลดต้นทุน insourcingการที่รับทำงานที่ผ่านมือตนเองบ่อยๆ เช่น แทนที่จะเป็นผู้ที่รับส่งเครื่อง/อุปกรณ์ไปซ่อมก็รับเป็นผู้ซ่อมมันเองเสียเลยหากมีปริมาณคุ้มที่จะทำ (economy of scale) หรือแม้แต่การ opensourcing ที่เปิดให้มีการพัฒนาความรู้ต่อยอดไปได้เรื่อยๆโดยไม่ปิดกั้น เช่น โปรแกรม Linux ผลที่เกิดขึ้นก็คือ พรมแดนตามกฎหมาย หรือในเชิง ภูมิศาสตร์ เริ่มที่จะหมดความหมายไป
       
       การรับจ้างตรวจแบบภาษี call center โดยคนอินเดียจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการ outsourcing และ/หรือ offshoring
       
       ความหมายอีกนัยหนึ่งที่กินความลึกไปกว่านั้นก็คือ การผูกขาดสามารถทำได้น้อยลงในยุคโลกาภิวัตน์หรือยุคโลกแบบของนาย Thomas L. Friedman เพราะอำนาจในการผูกขาดที่มีที่มาจากการสร้างอุปสรรคจากภาคเอกชนมิให้มีผู้ผลิตหน้าใหม่เข้ามาสู่ตลาดได้มีน้อยลง เพราะโลกสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้สะดวก รวดเร็ว และด้วยต้นทุนที่ถูกลง อุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ว่าจะโดย ขนาด (size) ของตลาดหรือทุน การควบคุมแหล่งวัตถุดิบ หรือการควบคุมเทคโนโลยี ทำได้น้อยลง คงเหลือแต่เพียงอุปสรรคจากภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียวที่จะสร้างอำนาจผูกขาดให้เกิดขึ้นมาได้ เช่น การให้สัมปทาน หรือการออกใบอนุญาต
       
       การลดภาษีระหว่างรัฐ การเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน หรือปัจจัยการผลิตอื่นๆ โดยเสรี หรือการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่แตกต่างกันให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงเป็นการทำให้โลกใบนี้ แบนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอุปสรรคต่างๆ ที่ขวางกั้น วิสัยทัศน์ โอกาสของคนเริ่มที่จะหมดไปซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้โลกใบนี้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้จากการเชื่อมโยงความรู้ระหว่างกัน
       
       หากโจทย์ในปัจจุบันของประเทศไทยคือการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเมืองและสื่อสารมวลชนที่ล้าหลังเนื่องมาจากย่ำอยู่กับที่เพราะมีการผูกขาดมานาน การสื่อสารกับมวลชน จึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการแก้ไข ปัญหาธุรกิจการเมืองเพราะข้อมูลที่ได้รับจะมีผลต่อการตัดสินใจของคน
       
       ปัญหาของการสื่อสารกับมวลชนในปัจจุบันก็คือการผูกขาดเช่นเดียวกับในภาคเศรษฐกิจอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคที่มาจากภาครัฐ ไม่ว่าจะโดยการให้ใบอนุญาต หรือการให้สัมปทาน ทำให้การสื่อสารบกพร่องเพราะสื่อให้เห็นว่า เกิดอะไร เกิดที่ไหน เกิดเมื่อไร แต่ไม่สามารถสื่อต่อไปได้อีกถึงรากเหง้าของปัญหาว่า ทำไมจึงเกิด
       
       ความกว้างของสื่อที่สามารถเข้าถึงมวลชนจึงแปรผกผันกับสาระที่ต้องการสื่อกับมวลอยู่เสมอมาโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต ที่มีลำดับความกว้างของการเข้าถึงลดหลั่นกันลงมาตามลำดับจึงแปรผกผันกับสาระข้อเท็จจริงที่มวลชนต้องการรับรู้ กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ หากอยากจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้ทำไมจึงเกิด คำตอบมักจะอยู่ในสื่อที่ไม่แพร่หลายมากอย่าง อินเทอร์เน็ต ในขณะที่ สื่อมวลชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดอย่างฟรีทีวีกลับแทบไม่มีสาระอันเป็นการตอบคำถามที่อยากรู้แต่อย่างใดเลย
       
       เหตุผลก็คือโทรทัศน์ วิทยุ สามรถผูกขาดได้ด้วยอำนาจรัฐจากใบอนุญาต หรือ การให้สัมปทานในการใช้คลื่นความถี่ ในขณะที่ หนังสือพิมพ์ และอินเทอร์เน็ตอำนาจรัฐในการสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่คลาดข่าวสารทำได้ยากกว่า
       
       ข้อถกเถียงในเรื่องความเสียหายจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิจึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงถึงการผูกขาดทางความคิดของการสื่อสารกับมวลชนของสื่อไทยบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นคุ้มค่ากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหรือไม่ หรือ ในกรณีล่าสุดของรัฐมนตรีกษิต ภิรมย์ที่เห็นได้ชัดว่าการขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ของท่านมิใช่ ตราบาปที่สื่อไทยบางส่วนกำลัง ตีตราให้ท่าน หากแต่เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อชาติของอดีตข้าราชการคนหนึ่งมากกว่า
       
       ในสื่อที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดไล่ลงมาตั้งแต่ โทรทัศน์ วิทยุ และแม้แต่หนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็ไม่ปรากฏถึงสาระที่สำคัญว่า ทำไมจึงเกิด และขาดวิจารณญาณที่จะประเมินว่าความเสียหายที่เกิดนั้นคุ้มค่าหรือไม่ เช่นเดียวกับการใช้น้ำมันก๊าซโซฮอลล์กับความเสียหายของเครื่องยนต์ที่ใช้ ถ้าเครื่องฯ จะเสียเป็นเพราะใช้การใช้น้ำมันก๊าซโซฮอลล์จริงหรือไม่
       
       ทำไมการปิดทำเนียบฯ จึงมีผลกระทบน้อยกว่าการปิดสนามบินทั้งๆ ที่เป็นศูนย์กลางการบริหารและหน้าตาของประเทศถ้าตำรวจสหรัฐฯ ยอมให้ผู้ประท้วงการเข้าสู่สงครามเวียดนาม อิรัก หรืออัฟกานิสถาน ยึดทำเนียบขาวได้ ประธานาธิบดีจะยอมตามคำเรียกร้องของผู้ประท้วงหรือไม่ เรื่องนี้จะเป็นข่าวเล็กน้อยและมองข้ามได้เหมือนอย่างที่สื่อไทยได้กระทำหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลจริงหรือ
       
       การล่อลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากสนามบินไปปล้น ฆ่า จะยิ่งเป็นข่าวใหญ่หากสถานทูตหรือสื่อต่างชาติมาทำข่าวกดดันทางการไทย สื่อไทยมักจะกระวีกระวาดรีบเร่งให้มีการดำเนินการจับกุมและระงับเหตุโดยเร็ว แต่ในทางตรงกันข้ามหากคนไทยกลุ่มหนึ่งอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเรียกร้องบ้างว่าถูกทำร้ายด้วยอาวุธสงครามจนมีคนตายหรือบาดเจ็บนับสิบติดต่อกันทุกวันก่อนมีการเดินทางมาเรียกร้องกดดันที่สนามบิน ทำไมสื่อไทยส่วนใหญ่จึงสื่อสารกับมวลชนไปในอีกลักษณะหนึ่งราวกับว่าเรื่องที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเรียกร้อง และผลกระทบจากความรุนแรงที่ได้รับไม่มีความสำคัญอันใดเลย
       
       สื่อไทยเอ๋ย สูเจ้ารู้หรือไม่ว่า การนิ่งดูดายต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้า ก็เป็นบาปอย่างหนึ่งเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นความผิดพลาดทางจริยธรรมของการทำหน้าที่สื่อโดยตรง สูเจ้าละอายใจและสำนึกผิดบ้างไหมในบาปที่ได้ทำลงไป?
       
       ในเชิงมาตรฐานระหว่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้วัยรุ่นที่ถูกตำรวจกรีซยิงตายเพียง 1 คนและก่อให้เกิดการจลาจลอย่างรุนแรงติดตามมามากกว่า 2 สัปดาห์ หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์กวาดล้างนักศึกษาจีนที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ทั้งสองเหตุการณ์ต่างก็มาเรียกร้องกดดันต่อรัฐเหมือนกัน แต่จะให้กดดันเรียกร้องที่บ้านใครบ้านมันจะสำเร็จหรือ ทำไมรัฐบาลและสื่อต่างชาติจึงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันกับกรณีปิดสนามบินไทย และสื่อไทยทำไมไปอ้างอิงมาตรฐานที่เป็น bad practice ของรัฐบาลและสื่อต่างประเทศ ไม่รู้ว่าจุดยืนของสื่อไทยเหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นมาตรฐานกันแน่ ช่างเป็นการกระทำที่น่าละอายและไร้ซึ่งจริยธรรมเสียเหลือเกิน?
       
       นอกจากสื่อไทยบางส่วนที่ถูกผูกขาดแล้ว การผูกขาดทางความคิดของการสื่อสารกับมวลชนของสื่อไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่อที่รัฐสร้างอำนาจผูกขาดไม่ได้ในปัจจุบันอย่างสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับ จึงเป็นคำตอบเพียงประการเดียวที่อธิบายปรากฏการณ์ข้างต้นนี้ได้ สื่อเหล่านี้ไม่รู้หรือว่าตนเองกำลังตกยุค เพราะมวลชนจำนวนไม่น้อยเริ่มฉลาดและก้าวหน้ากว่าสื่อจอมปลอมแล้ว
       
       ผู้เขียนอยากจะบอกว่า ในยุคของโลกแบน มันหมดสมัยแล้วที่อำนาจในการตีความจะถูกผูกขาดโดยสื่อสารมวลชนบางส่วนที่จอมปลอม ใจแคบ และมีอคติ เหมือนอย่างที่สื่อเส็งเคร็งเหล่านี้ได้กระทำกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 ที่ผ่านมา
       
       ใครว่าโลกใบนี้กลม? โลกใบนี้แบนแล้วในสายตาของมวลชนที่รู้ตื่นและรู้ทัน ความจอมปลอมของสื่อไทยบางส่วนที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อความเติบโตทางปัญญาของสังคมไทย
       
       หมายเหตุ :
เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด
       
ความเชื่อมโยงความรู้ของมนุษยชาติ
       จะก่อให้เกิดการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่

       
       ปราชญ์นิรนาม


       
       Thomas L. Friedman ในปี 2005 ได้แสดงทัศนคติของเขาว่า โลกใบนี้แบนจากหนังสือที่ขายดีที่สุดของเขาเล่มหนึ่งคือ The World is Flat: A Brief History of the Twenty-First Century ฉบับแปลภาษาไทยว่า ใครว่าโลกกลมที่ผู้เขียนคิดว่าคนไทยควรอ่านมากที่สุดเล่มหนึ่งเพื่อที่จะได้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้
       
       อันที่จริงคนที่ชื่อ Friedman มีที่โด่งดังอยู่หลายคน เช่น Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของChicago Schoolเจ้าของรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์เมื่อหลายปีก่อน รวมถึงบุตรชายของเขา David Friedmanที่จบการศึกษาด้านฟิสิกส์แต่มาสอนกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ หรือ Benjamin Friedman ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Harvard แต่นาย Thomas L. Friedman คนนี้เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์
       
       แนวคิดว่าโลกใบนี้แบนของนาย Thomas L. Friedman มีที่มาจากการที่โลกของมนุษยชาติในปัจจุบันมีข้อจำกัด หรือข้อกีดขวางลดน้อยลงไปเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากเกิดการรวมกันมากขึ้น ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่า สิ่งกีดขวางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ที่ปิดกั้นวิสัยทัศน์ หรือโอกาสต่างๆ ของมนุษย์จะลดน้อยลงไป อันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี ทำให้การสื่อสารถึงกันของคนบนโลกนี้ทำได้สะดวกมากขึ้น
       
       การสื่อสารที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้าที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันในราคาถูกของคนในโลกปัจจุบัน ทำให้เกิดการไหลเข้า- ออกของปัจจัยการผลิต เกิดการแบ่งงานกันทำระหว่างประเทศ ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น outsourcing การนำเอางานในองค์กรไปให้ข้างนอกทำเนื่องจากถูกกว่า offshoringการไปตั้งหน่วยผลิตนอกพรมแดนตนเองเพื่อลดต้นทุน insourcingการที่รับทำงานที่ผ่านมือตนเองบ่อยๆ เช่น แทนที่จะเป็นผู้ที่รับส่งเครื่อง/อุปกรณ์ไปซ่อมก็รับเป็นผู้ซ่อมมันเองเสียเลยหากมีปริมาณคุ้มที่จะทำ (economy of scale) หรือแม้แต่การ opensourcing ที่เปิดให้มีการพัฒนาความรู้ต่อยอดไปได้เรื่อยๆโดยไม่ปิดกั้น เช่น โปรแกรม Linux ผลที่เกิดขึ้นก็คือ พรมแดนตามกฎหมาย หรือในเชิง ภูมิศาสตร์ เริ่มที่จะหมดความหมายไป
       
       การรับจ้างตรวจแบบภาษี call center โดยคนอินเดียจึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการ outsourcing และ/หรือ offshoring
       
       ความหมายอีกนัยหนึ่งที่กินความลึกไปกว่านั้นก็คือ การผูกขาดสามารถทำได้น้อยลงในยุคโลกาภิวัตน์หรือยุคโลกแบบของนาย Thomas L. Friedman เพราะอำนาจในการผูกขาดที่มีที่มาจากการสร้างอุปสรรคจากภาคเอกชนมิให้มีผู้ผลิตหน้าใหม่เข้ามาสู่ตลาดได้มีน้อยลง เพราะโลกสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้สะดวก รวดเร็ว และด้วยต้นทุนที่ถูกลง อุปสรรคที่ขวางกั้นไม่ว่าจะโดย ขนาด (size) ของตลาดหรือทุน การควบคุมแหล่งวัตถุดิบ หรือการควบคุมเทคโนโลยี ทำได้น้อยลง คงเหลือแต่เพียงอุปสรรคจากภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียวที่จะสร้างอำนาจผูกขาดให้เกิดขึ้นมาได้ เช่น การให้สัมปทาน หรือการออกใบอนุญาต
       
       การลดภาษีระหว่างรัฐ การเคลื่อนย้ายทุน แรงงาน หรือปัจจัยการผลิตอื่นๆ โดยเสรี หรือการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่แตกต่างกันให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงเป็นการทำให้โลกใบนี้ แบนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอุปสรรคต่างๆ ที่ขวางกั้น วิสัยทัศน์ โอกาสของคนเริ่มที่จะหมดไปซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้โลกใบนี้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้จากการเชื่อมโยงความรู้ระหว่างกัน
       
       หากโจทย์ในปัจจุบันของประเทศไทยคือการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเมืองและสื่อสารมวลชนที่ล้าหลังเนื่องมาจากย่ำอยู่กับที่เพราะมีการผูกขาดมานาน การสื่อสารกับมวลชน จึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญในการแก้ไข ปัญหาธุรกิจการเมืองเพราะข้อมูลที่ได้รับจะมีผลต่อการตัดสินใจของคน
       
       ปัญหาของการสื่อสารกับมวลชนในปัจจุบันก็คือการผูกขาดเช่นเดียวกับในภาคเศรษฐกิจอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคที่มาจากภาครัฐ ไม่ว่าจะโดยการให้ใบอนุญาต หรือการให้สัมปทาน ทำให้การสื่อสารบกพร่องเพราะสื่อให้เห็นว่า เกิดอะไร เกิดที่ไหน เกิดเมื่อไร แต่ไม่สามารถสื่อต่อไปได้อีกถึงรากเหง้าของปัญหาว่า ทำไมจึงเกิด
       
       ความกว้างของสื่อที่สามารถเข้าถึงมวลชนจึงแปรผกผันกับสาระที่ต้องการสื่อกับมวลอยู่เสมอมาโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต ที่มีลำดับความกว้างของการเข้าถึงลดหลั่นกันลงมาตามลำดับจึงแปรผกผันกับสาระข้อเท็จจริงที่มวลชนต้องการรับรู้ กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ หากอยากจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้ทำไมจึงเกิด คำตอบมักจะอยู่ในสื่อที่ไม่แพร่หลายมากอย่าง อินเทอร์เน็ต ในขณะที่ สื่อมวลชนสามารถเข้าถึงได้ง่ายที่สุดอย่างฟรีทีวีกลับแทบไม่มีสาระอันเป็นการตอบคำถามที่อยากรู้แต่อย่างใดเลย
       
       เหตุผลก็คือโทรทัศน์ วิทยุ สามรถผูกขาดได้ด้วยอำนาจรัฐจากใบอนุญาต หรือ การให้สัมปทานในการใช้คลื่นความถี่ ในขณะที่ หนังสือพิมพ์ และอินเทอร์เน็ตอำนาจรัฐในการสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่คลาดข่าวสารทำได้ยากกว่า
       
       ข้อถกเถียงในเรื่องความเสียหายจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิจึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงถึงการผูกขาดทางความคิดของการสื่อสารกับมวลชนของสื่อไทยบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นคุ้มค่ากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหรือไม่ หรือ ในกรณีล่าสุดของรัฐมนตรีกษิต ภิรมย์ที่เห็นได้ชัดว่าการขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ของท่านมิใช่ ตราบาปที่สื่อไทยบางส่วนกำลัง ตีตราให้ท่าน หากแต่เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อชาติของอดีตข้าราชการคนหนึ่งมากกว่า
       
       ในสื่อที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดไล่ลงมาตั้งแต่ โทรทัศน์ วิทยุ และแม้แต่หนังสือพิมพ์บางฉบับ ก็ไม่ปรากฏถึงสาระที่สำคัญว่า ทำไมจึงเกิด และขาดวิจารณญาณที่จะประเมินว่าความเสียหายที่เกิดนั้นคุ้มค่าหรือไม่ เช่นเดียวกับการใช้น้ำมันก๊าซโซฮอลล์กับความเสียหายของเครื่องยนต์ที่ใช้ ถ้าเครื่องฯ จะเสียเป็นเพราะใช้การใช้น้ำมันก๊าซโซฮอลล์จริงหรือไม่
       
       ทำไมการปิดทำเนียบฯ จึงมีผลกระทบน้อยกว่าการปิดสนามบินทั้งๆ ที่เป็นศูนย์กลางการบริหารและหน้าตาของประเทศถ้าตำรวจสหรัฐฯ ยอมให้ผู้ประท้วงการเข้าสู่สงครามเวียดนาม อิรัก หรืออัฟกานิสถาน ยึดทำเนียบขาวได้ ประธานาธิบดีจะยอมตามคำเรียกร้องของผู้ประท้วงหรือไม่ เรื่องนี้จะเป็นข่าวเล็กน้อยและมองข้ามได้เหมือนอย่างที่สื่อไทยได้กระทำหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลจริงหรือ
       
       การล่อลวงนักท่องเที่ยวต่างชาติจากสนามบินไปปล้น ฆ่า จะยิ่งเป็นข่าวใหญ่หากสถานทูตหรือสื่อต่างชาติมาทำข่าวกดดันทางการไทย สื่อไทยมักจะกระวีกระวาดรีบเร่งให้มีการดำเนินการจับกุมและระงับเหตุโดยเร็ว แต่ในทางตรงกันข้ามหากคนไทยกลุ่มหนึ่งอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเรียกร้องบ้างว่าถูกทำร้ายด้วยอาวุธสงครามจนมีคนตายหรือบาดเจ็บนับสิบติดต่อกันทุกวันก่อนมีการเดินทางมาเรียกร้องกดดันที่สนามบิน ทำไมสื่อไทยส่วนใหญ่จึงสื่อสารกับมวลชนไปในอีกลักษณะหนึ่งราวกับว่าเรื่องที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเรียกร้อง และผลกระทบจากความรุนแรงที่ได้รับไม่มีความสำคัญอันใดเลย
       
       สื่อไทยเอ๋ย สูเจ้ารู้หรือไม่ว่า การนิ่งดูดายต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้า ก็เป็นบาปอย่างหนึ่งเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นความผิดพลาดทางจริยธรรมของการทำหน้าที่สื่อโดยตรง สูเจ้าละอายใจและสำนึกผิดบ้างไหมในบาปที่ได้ทำลงไป?
       
       ในเชิงมาตรฐานระหว่างประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้วัยรุ่นที่ถูกตำรวจกรีซยิงตายเพียง 1 คนและก่อให้เกิดการจลาจลอย่างรุนแรงติดตามมามากกว่า 2 สัปดาห์ หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์กวาดล้างนักศึกษาจีนที่เรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ทั้งสองเหตุการณ์ต่างก็มาเรียกร้องกดดันต่อรัฐเหมือนกัน แต่จะให้กดดันเรียกร้องที่บ้านใครบ้านมันจะสำเร็จหรือ ทำไมรัฐบาลและสื่อต่างชาติจึงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันกับกรณีปิดสนามบินไทย และสื่อไทยทำไมไปอ้างอิงมาตรฐานที่เป็น bad practice ของรัฐบาลและสื่อต่างประเทศ ไม่รู้ว่าจุดยืนของสื่อไทยเหล่านั้นเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นมาตรฐานกันแน่ ช่างเป็นการกระทำที่น่าละอายและไร้ซึ่งจริยธรรมเสียเหลือเกิน?
       
       นอกจากสื่อไทยบางส่วนที่ถูกผูกขาดแล้ว การผูกขาดทางความคิดของการสื่อสารกับมวลชนของสื่อไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่อที่รัฐสร้างอำนาจผูกขาดไม่ได้ในปัจจุบันอย่างสื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับ จึงเป็นคำตอบเพียงประการเดียวที่อธิบายปรากฏการณ์ข้างต้นนี้ได้ สื่อเหล่านี้ไม่รู้หรือว่าตนเองกำลังตกยุค เพราะมวลชนจำนวนไม่น้อยเริ่มฉลาดและก้าวหน้ากว่าสื่อจอมปลอมแล้ว
       
       ผู้เขียนอยากจะบอกว่า ในยุคของโลกแบน มันหมดสมัยแล้วที่อำนาจในการตีความจะถูกผูกขาดโดยสื่อสารมวลชนบางส่วนที่จอมปลอม ใจแคบ และมีอคติ เหมือนอย่างที่สื่อเส็งเคร็งเหล่านี้ได้กระทำกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 ที่ผ่านมา
       
       ใครว่าโลกใบนี้กลม? โลกใบนี้แบนแล้วในสายตาของมวลชนที่รู้ตื่นและรู้ทัน ความจอมปลอมของสื่อไทยบางส่วนที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อความเติบโตทางปัญญาของสังคมไทย
       
       หมายเหตุ :
เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด

* * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

Tel. 02-990-0331

3012511033

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2008-12-30 10:33:59 IP : 124.121.139.223


ความคิดเห็นที่ 2 (2964170)

ต้นเหตุสังคมการเมืองแตกแยก ขาดสื่อสร้างสรรค์สังคมธรรมาธิปไตย

 

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนิเทศศาสตร์สำหรับนักศึกษา ว่าหลักสูตรนิเทศศาสตร์ถูกมองว่าเป็นศาสตร์แห่งการแสดง ความบันเทิง และงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แต่หลังจากนี้หลักสูตรนิเทศศาสตร์จะรวมไปถึงการแสดงออกทางสังคมให้มากขึ้นด้วย โดยทางคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จะมีการพัฒนา นิเทศศาสตร์ให้ออกมาเป็นสื่อสร้างสังคมธรรมาธิปไตย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมมาธิปไตยให้แก่นิสิต นักศึกษา คณาจารย์ เพื่อเผยแพร่ไปสู่สังคม ทั้งนี้เพราะ ในสถานการณ์เกิดวิกฤติทางการเมืองจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าล้มเหลว จากการแตกแยกเป็น2 ฝ่ายของคนในสังคมนั้น แท้จริงเป็นเพียงปลายเหตุ เท่านั้น แต่ต้นเหตุจริงๆเกิดขึ้นเนื่องจากความเลวร้ายของสังคมที่ขาดหลักธรรมาธิปไตย ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้หลักธรรมาธิปไตย น่าจะมาจากสื่อมวลชนซึ่งเป็นกระบอกเสียงในการทำหน้าที่ให้ความรู้ ข่าวสารสู่งคม และยังเป็นฐานันดรที่ 4 ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสังคม ให้นำเอาหลักธรรมมาธิปไตยไปใช้

ดร.อาทิตย์ ยังได้กล่าวอีกว่า หากเปรียบสังคมเป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์ ที่ต้องประกอบด้วยกลไกหลายส่วนให้ประสานเข้าด้วยกันจึงจะทำงานได้ แต่เครื่องยนต์จะทำงานไม่ได้เลยหากขาดน้ำมัน หล่อลื่น ซึ่งนั้นก็คือ สื่อมวลชน นั่นเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ              

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331            

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2501522036

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-01-25 20:35:54 IP : 124.121.138.76


ความคิดเห็นที่ 3 (2964177)

เปิดรายละเอียด 17 โครงการ 115,000 ล้านบาท ครม. "มาร์ค"กระตุ้นเศรษฐกิจ (รายงานพิเศษ)

 

หมายเหตุ: นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงกรอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีวงเงินทั้งสิ้น 115,000 ล้านบาท โดยรายละเอียดดังนี้

1.โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ 18,970 ล้านบาท

2. โครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน ลดค่าครองชีพประชาชน 11,409 ล้านบาท
(โดยรายละเอียดทั้งหมดจะสรุป 20 ม.ค.นี้ เบื้องต้น ค่าน้ำจะช่วยเหลือโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 30 ลบ.เมตรต่อเดือน ค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน รถเมล์ รถไฟยังเหมือนเดิม )

3. โครงการจัดทำและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกร 2,000 ล้านบาท

4.โครงการก่อสร้างภายในหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อน 1,500 ล้านบาท

5. โครงการด้านพาณิชย์เพื่อช่วยเหลือประชาชน 1,000 ล้านบาท

6.โครงการสนับสนุนการท่องเที่ยว 1,000 ล้านบาท

7.โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็กเพื่อการจัดการน้ำ 760 ล้านบาท

8.โครงการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารและเอสเอ็มอี 500 ล้านบาท

9. โครงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ 325 ล้านบาท

10. โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาฟรี 15 ปี 19,000 ล้านบาท

11. โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน 15,200 ล้านบาท

12.โครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุ 9,000 ล้านบาท

13.โครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน เพื่อใช้ในการฝึกอบรมฝีมือแรงงานสำหรับผู้ตกงาน วงเงิน 6,900 ล้านบาท
(โดย ครม.ได้อนุมัติงบกลางปีฉุกเฉิน 120 ล้านบาท เพื่อเริ่มนำร่องในระยะแรก )

14. โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 3,000 ล้านบาท

15. โครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจชั้นประทวน 1,808 ล้านบาท

16. โครงการปรับปรุงสถานีอนามัย 1,095 ล้านบาท

17.เงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน 2,391 ล้านบาท

และ การตั้งงบรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 139 ล้านบาท

รายละเอียดการจัดสรรเป็นรายกระทรวง
จัดไว้เป็นงบกลาง 12,203 ล้านบาท


สำนักนายกรัฐมนตรี 15,200 ล้านบาท

กระทรวงการต่างประเทศ 325 ล้านบาท

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 550 ล้านบาท

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2,000 ล้านบาท

กระทรวงคมนาคม 1,500 ล้านบาท

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ 760 ล้านบาท

กระทรวงพาณิชย์ 1,000 ล้านบาท

กระทรวงมหาดไทย 12,557 ล้านบาท

กระทรวงแรงงาน 16,058 ล้านบาท

กระทรวงศึกษาธิการ 18,258 ล้านบาท

กระทรงสาธารณสุข 100 ล้านบาท

กระทรวงอุตสาหกรรม 485 ล้านบาท

กระทรวงวัฒนธรรม 21 ล้านบาท

หน่วยงานไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี 1,972 ล้านบาท

รัฐวิสาหกิจต่างๆ 11,874 ล้านบาท

สำหรับการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน ประกอบด้วยผู้ประกันตน 8 ล้านคน รวมถึงผู้ใหญ่บ้านกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 1.47 ล้านคน
สำหรับโครงการช่วยเหลือด้านการท่องเที่ยว มีแผนปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว 18 แห่ง บุคลากรด้านการท่องเที่ยว 160,000 คน  (14 ม.ค.52)

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ              

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331            

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2501522053

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-01-25 20:52:58 IP : 124.121.138.76


ความคิดเห็นที่ 4 (2970666)

ครม.มีมติตั้ง 11ผู้ช่วย รมต.

วันนี้(10 ก.พ.52) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมครม.มีการแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 11 คน ยืนยันว่า ไม่มีการเสนอ และไม่มีการแต่งตั้ง นายสำราญ รอดเพชร แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตส.ส.ของพรรคตามที่เป็นข่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า รัฐบาลต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางกลับประเทศ เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย และในฐานะคนไทย รัฐบาลไม่เคยห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศ และรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขึ้นบัญชีดำของประเทศต่าง ๆ เนื่องจากเป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังระบุว่า การแต่งตั้งนายเทพไท เสนพงศ์ เป็นโฆษกหัวหน้าพรรคปชป. เป็นการทำงานในส่วนของพรรค ไม่ใช่ส่วนของรัฐบาล จึงไม่น่าจะเป็นสายล่อฟ้าได้

ส่วนมติครม.ในประเด็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ เปิดเผยว่า กรณีการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร รัฐบาลเตรียมที่จะโอนหนี้ทั้งหมดให้เข้ามาอยู่ในกองทุนฟื้นฟูหนี้สินเกษตรกร เพื่อแปลงหนี้เสียให้กลายเป็นหนี้ดี ซึ่งคงต้องมีการเจรจากับทาง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และ ธนาคารต่าง ๆ อีกทั้ง จะขอให้ชะลอการฟ้องร้องคดีไว้ก่อน

อย่างไรก็ตาม มติครม.วันนี้ ได้มีการอนุมัติวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำไปใช้ฟื้นฟูการท่องเที่ยว

โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ครม.ได้ให้กระทรวงคมนาคม กลับไปพิจารณาแผนงานโครงการเช่ารถเมล์ เอ็นจีวี 4,000 คัน โดยต้องการให้เป็นรถที่ประกอบในประเทศ มากกว่าการนำเข้า

ส่วนเรื่องการประกันสินเชื่อเครดิตบูโร และมาตรการแรงงาน จะมีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันพรุ่งนี้(11ก.พ.) ส่วนเรื่องงบประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่จะใช้ดูแลผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบนั้น ครม.จะพิจารณาในสัปดาห์ถัดไป.

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ              

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331            

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1002522119    

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-02-10 21:19:10 IP : 124.121.78.62


ความคิดเห็นที่ 5 (2985042)

กกต.ป่วน-ร้าวลึก เจ๊สดจับมือสมชัย รื้อโครงสร้างใหม่

ขอตั้งเป็น"บอร์ด"

 

ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อกกต. 2 คน เสนอให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของ กกต. จากเดิมที่แบ่งงานเป็น 5 ด้านให้กกต.5คนรับผิดชอบคนละด้าน เป็นให้กกต.ทำงานในรูปแบบของคณะกรรมการ หรือบอร์ด แทน

เรื่องนี้ทั้ง นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง และนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ได้ร่วมกันแถลงกับสื่อมวลชนอย่างเปิดเผยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม โดยนางสดศรี กล่าวถึงเหตุผลการเสนอเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า ปัจจุบัน คณะกรรมการกกต.ทำงานหนัก เพราะต้องทำหน้าที่ทั้งพิจารณาการเลือกตั้ง แล้วยังทำหน้าที่ดูแลหน่วยงาน และงานธุรการ ด้วย ความจริง เรื่องการดูแลสำนักงานควรเป็นเรื่องของเลขาธิการ และรองเลขาธิการมากกว่า ไม่ควรให้กกต.ต้องดูแลทั้งหมด

"เมื่อกกต.มีหน้าที่ดูแลทั้งหมด ทำให้ต้องถูกฟ้องจากเรื่องที่เป็นงานธุรการ เช่น เรื่องการพิมพ์บัตร และขณะนี้ เรื่องคดีเราก็โดนมาหลายคดีแล้ว" นางสดศรี กล่าว

ด้านนายสมชัย กล่าวสนับสนุนว่า ถ้าจะปรับเป็นรูปแบบกรรมการบอร์ด คงต้องมีการแก้ไขกฎหมาย แต่ในเบื้องต้นเห็นว่าหากยังไม่แก้กฎหมาย ทางสำนักงานฯ ก็สามารถดูว่าเรื่องใดกฎหมายกำหนดเป็นภารกิจของกกต. จึงค่อยนำเสนอที่ประชุม ส่วนงานธุรการทางสำนักงานน่าจะจัดการเองได้

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ข้อเสนอของ นางสดศรีและนายสมชัย นั้นทั้ง เลขาธิการ กกต. และนาย อภิชาต สุขัคคานท์ ประธาน กกต.ไม่เห็นด้วย ยังต้องการให้กกต.ทำงานในลักษณะเดิม เพราะหากทำงานเป็นรูปแบบบอร์ดเมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้น ประธาน กกต. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดตามกฎหมาย ขณะที่เลขาธิการ ก็ต้องรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าสำนักงาน ส่วน กกต.คนอื่นไม่ต้องรับผิดชอบร่วม

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1803522033    

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-18 20:33:23 IP : 124.121.139.208


ความคิดเห็นที่ 6 (2985389)

คนไทยในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง หน้าเหี่ยวท้องแห้ง บ้างลำบากบักโกรก ถึงคราวซวยตกงาน เดินเตะฝุ่น ไร้เงินยาไส้
       
       คงตาลุกวาว โอ้โหอื้อหือ กับข่าวลึกข่าวลับ เงินรายได้ประจำเดือนก้อนพิเศษของ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่เสี่ยใหญ่ใจดี เจ้าสัวคิงเพาเวอร์อุปการคุณ ส่งเสียรายเดือนให้ผู้แทนประชาธิปัตย์ ป้อมค่ายที่กำลังกุมอำนาจรัฐ
       
       เบี้ยกินเปล่า “หนึ่งแสนบาท” ต่อเดือน!
       
       จะถือว่าเป็นรายได้ที่ควรได้ก็ไม่ใช่ ต้องถือเป็น “ลาภลอย” ที่ไม่รู้สุดท้าย ต้องแลกกับ “จ๊อบพิเศษ” นอกเหนือหน้าที่ผู้แทนราษฎรที่ดีหรือไม่
       
       ทั้งที่หากดูรายรับในการเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.ประชาชนคนไทยต้องเจียดเบี้ยส่งต๋งเข้ารัฐ เอามาจ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูผู้แทนฯก็เรียกว่ารับกันอู้ฟู่อยู่แล้ว
       
       หากดูจากอัตราเงินเดือน สิทธิประโยชน์และค่าตอบแทนของ ผู้ทรงเกียรติ ส.ส.1 คน จะได้รับเงินประจำตำแหน่ง 62,*** และได้เงินเพิ่มอีก 42,330 บาท รับเข้ากระเป๋ารายเดือน 104,330 บาท
       
       “หนึ่งแสน สี่พัน สามร้อย สามสิบบาท” !

       
       ยังไม่รวมเบี้ยประชุมคณะกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ อีกต่ำๆ ก็ 500-1,*** ต่อการเสียเวลาทำงาน 1 หน อีกทั้งค่าใช้จ่ายทีมงาน ก็ไม่ต้องควักกระเป๋าเอง เงินภาษีจากประชาชนช่วยเลี้ยงดู ผู้ช่วย ส.ส.5 คนๆ ละ 10,*** ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว1คน เงินเดือน 20,***
       
       สวัสดิการของคนเป็นผู้แทนฯ ชาวบ้านควักภาษีไปเลี้ยงดูกันเป็นอย่างดี ทั้งเงินประกันสุขภาพ เจ็บไข้ได้ป่วย มีให้เบิกใช้เบิกจ่ายกันรายละ 20,***ต่อปี
       
       การเดินทางก็สะดวกสบาย ไม่ว่าจะใช้บริการ ร.ฟ.ท.รถไฟไทย รถบัสรถทัวร์ บขส.หรือจะขึ้นเครื่องบิน ฟรีทุกรายการ ไม่ต้องเสียเวลาตีตั๋วเสียค่าโดยสาร
        รายรับ รายได้ สวัสดิการ และความมั่นคงของชีวิต เปรียบเทียบกับการทำงาน ประชุมสภา 2 วัน ประชุมอื่นๆ อีกสัก 1 วัน ปีหนึ่งทำงานแค่ไม่กี่เดือน
       
       อาชีพผู้แทนฯจึงหอมหวานนัก
 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1903521631    

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-19 16:31:30 IP : 124.121.77.192


ความคิดเห็นที่ 7 (2988959)

เอกชนอุ้มรัฐบาล จวกยับม็อบป่วน ซ้ำเติมศก.ดิ่งเหว

                                                                                                               

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม นายดุสิต นนทะนาคร ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานกรรมการหอการค้าไทยคนใหม่ แทนนายประมนต์ สุธีวงศ์ ที่หมดวาระ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของรัฐบาลในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ถือว่ารัฐบาลทำงานมาถูกทางแล้ว ที่ต้องหันมากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศก่อน และลดการพึ่งพาการส่งออกลง ส่วนงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 จำนวน 1.56 ล้านล้านบาทนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรทำอยู่แล้ว และภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ จะมีการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ เพื่อหามาตรการระยะกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคเอกชนช่วยเสนอรัฐบาลในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งจะเน้นเรื่องธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นหลัก

ประธานหอการค้าไทย กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง จะยิ่งซ้ำเติมให้การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ต้องมีอุปสรรคเพิ่มขึ้นอีก อย่างการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) นั้น คิดว่าถ้าประชาชนมีความรักชาติจริง ต้องช่วยกันสร้างชาติไม่ใช่ทำลายชาติ และการออกมาประท้วงชุมนุมไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีแต่ผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวมของประเทศ

ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการอาวุโสหอการค้าไทย กล่าวว่า ความหวังของภาคเอกชน คือ อยากเห็นความสงบสุขภายในประเทศ ไม่อยากเห็นการทะเลาะที่ยืดเยื้อ เพราะจะเหนื่อยกันทั้ง 2 ฝ่าย เวลานี้ประเทศต้องการความสามัคคี ไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเองแล้ว และรัฐบาลชุดนี้โดยภาพรวมแล้ว มองว่าทำงานได้ดีพอสมควร มีความตั้งใจและรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญแม้ในบางเรื่องข้อเสนอจะไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐ แต่ก็เข้าใจว่ารัฐบาลมีข้อจำกัดในการทำงาน

ขณะที่นายอาชว์ เตาลานนท์ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าไทย กล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาถูกต้องและเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งคงจะเห็นผลของมาตรการระยะแรกได้อย่างชัดเจน ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามเห็นว่ามาตรการในระยะกลาง ภายใต้วงเงิน 1.56 ล้านล้านบาท ที่จะสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลระบบชลประทาน และการเกษตรโดยเน้นการเกษตรชนบท และการขนส่งสินค้าเกษตร

ส่วนมาตรการระยะยาว ในอีก 10-20 ปีข้างหน้านั้น เห็นว่า ทั่วโลกจะมีความต้องการอาหารมากขึ้น จะเกิดภาวะการขาดแคลนอาหาร ไทยจะได้รับประโยชน์จากจุดนี้ ดังนั้นในระยะยาวจะต้องเร่งหันมาดูแลสินค้าเกษตร การเปลี่ยนมาใช้พลังงานทดแทนและวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ในอนาคต

นายอาชต์ กล่าวว่า ปัญหาของรัฐบาลขณะนี้คือเรื่องความแตกแยกทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ

ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ย่อมส่งผลกระทบต่อรัฐบาล ทำให้ประเทศเกิดความไม่สามัคคีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ที่ถือว่าจะมีความรุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง และคาดว่าทั้งปีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะติดลบ 3-3.5 ได้

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2703521756               

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-27 17:56:23 IP : 124.121.139.210


ความคิดเห็นที่ 8 (2992297)

ล้มองคมนตรีทั้งคณะ!ใบเสร็จยืนยันแนวคิดแกนนำเสื้อแดง

โดย คำนูณ สิทธิสมาน  5 เมษายน 2552

 

ผมเคยเขียน ณ ที่นี้มาตั้งแต่ 23 มิ.ย.51 รวมทั้งนำไปเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อหาคำอภิปรายครั้งญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติในวุฒิสภาช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุรทรเวชแล้วว่าแนวความคิดหลักของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นน่ะไม่เห็นด้วยกับการคงอยู่ของคณะองคมนตรีชุดปัจจุบัน
       
       
ใบเสร็จอยู่ที่ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ที่เสนอโดยประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เข้าชื่อกันภายใต้การริเริ่มของ นพ.เหวง โตจิราการและนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ที่ยื่นต่อประธานรัฐสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 ที่ไปลอกรัฐธรรมนูญ 2540 มาใส่ไว้ทั้งหมด...
       
       
ยกเว้นเพียงมาตราเดียว!
       
       
คือบทเฉพาะกาลที่รับรองการคงอยู่ของคณะองคมนตรีชุดปัจจุบัน***
       
       
ควรทำความเข้าใจหลักการกันสักนิด
       
       
ปกติเวลามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือแก้ไขใหม่ทั้งฉบับ ในส่วนบทเฉพาะกาลเขาจะรับรองการมีอยู่และการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เริ่มตั้งแต่คณะองคมนตรี ส.ส. ส.ว. และคณะรัฐมนตรี
       
       
รัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติไว้ในมาตรา 292 ความว่า...
       
       
ให้คณะองคมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะองคมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้
       
       
ไม่ใช่เรื่องใหม่เนื้อหาใหม่หรือถ้อยคำใหม่อะไรเลย หากจะกล่าวหาว่ารัฐธรรมนูญ 2550 เป็นระบอบที่เรียกว่าอมาตยาธิปไตยนะ เพราะเป็นเนื้อหาและถ้อยคำที่บัญญัติไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 แล้ว คณะผู้เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จงใจที่จะหลงลืมมาตรานี้ทั้งมาตรา แล้วไม่ใส่บทบัญญัติทำนองเดียวกันนี้เข้าไปแทน อันจะทำให้ฐานภาพของคณะองคมนตรีชุดที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่มีปัญหาทันที หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกฉบับ
       
       
รัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติรับรองคณะองคมนตรีที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับไว้ในมาตรา 314
       
       
พวกเขาอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ดีเลิศ แต่กลับจงใจหลงลืมมาตรา 314 เพียง 1 มาตรา
       
       
มาตรา 314 รัฐธรรมนูญ 2540 บัญญัติไว้ด้วยข้อความเดียวกับมาตรา 292 รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ผมยกมาและเน้นด้วยตัวโตๆ ข้างต้น
       
       
หันไปดูบทเฉพาะกาลใหม่ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับอดีตทหารป่าดาวแดงทั้งสองให้ทั่ว ก็ไม่มีการรับรองคณะองคมนตรีครับ!
       
       
ผลคืออะไร?
       
       
ผลก็คือ ถ้าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ออกมาเคลื่อนไหวตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2551 การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงเดินหน้าไปแล้ว และถ้าสำเร็จออกมา ก็หมายความว่าคณะองคมนตรีคณะปัจจุบันที่มาจากการแต่งตั้งตามพระพระราชอัธยาศรัยของพระมหากษัตริย์ไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีรัฐธรรมนูญรองรับ
       
       
คณะองคมนตรีที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ เป็นประธาน จะเป็นองค์กรนอกรัฐธรรมนูญทันที
       
       
หรืออย่างน้อย ก็มีปัญหามีประเด็นให้ต้องตีความ!
       
       
ต่อไป ถ้าจะมีการแต่งตั้งคณะองคมนตรีใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นที่ตำแหน่งประธานองคมนตรีก่อน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2550 บัญญัติไว้ในมาตรา 13 และร่างรัฐธรรมนูญฉบับอดีตทหารป่าดาวแดงทั้งสองยังคงไว้ด้วยเนื้อหาเดียวกัน
       
       
แม้ว่าวรรคแรกจะบัญญัติว่าให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย แต่วรรคสองนี่ซิครับสำคัญและน่าคิด....
       
       
ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ....
       
       
นักการเมืองในพรรคเครือข่ายของพวกเขาที่เชื่อกันว่าจะชนะเลือกตั้งเข้ามา หลังยุบสภา จะมีบทบาทสูงทันที
       
       
ย้อนไปดูรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ ในอดีต ก็จะพบว่ามาตราแรกของบทเฉพาะกาลเขาจะบัญญัติรับรองการมีอยู่และการปฏิบัติหน้าที่ของคณะองคมนตรีทั้งสิ้น
       
       
รัฐธรรมนูญ 2540 อยู่ในมาตรา 314
       
       
รัฐธรรมนูญ 2534 อยู่ในมาตรา 214
       
       
และรัฐธรรมนูญ 2521 อยู่ในมาตรา 197
       
       2
อดีตทหารป่าสวมหมวกเขียวประดับตราดาวแดงสัญลักษณ์คอมมิวนิสต์ในอดีตนามเหวง โตจิราการและจรัล ดิษฐาอภิชัย จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น หรือไม่เป็นไปตามที่ผมตีความ ก็พอได้ครับ แต่น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนเพียงใด วันเวลาเมื่อปีกว่าอาจจะไม่ชัด แต่วันนี้ชัดขึ้นแล้วใช่ไหม
       
       
รวมทั้งพลพรรค ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่เคยเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในทำนองเดียวกัน ก็ปฏิเสธได้ครับ แต่จะน่าเชื่อแค่ไหนประชาชนที่มีปัญญาจะเป็นผู้ตัดสิน
       
       
จะบอกว่าให้ไปแก้ไขในชั้นแปรญัตติวาระ 2 – 3 ก็เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นนัก
       
       
เพราะมันเห็นธาตุแท้อย่าง ล่อนจ้อนแล้ว!
       
       
ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ชอบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ชอบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และล่าสุดต้องไม่ชอบ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ แต่ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีสิทธิที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญโดยมีวาระซ่อนเร้นไม่รับรองคณะองคมนตรีที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เป็นประธานได้
       
       
แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งก็ทำไปแล้ว แม้จะยังไม่สำเร็จ
       
       
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2 อดีตทหารป่าคอมมิวนิสต์ที่มีเนื้อหาไม่มีบทบัญญัติรับรองคณะองคมนตรีชุดปัจจุบันนี้ยังคงบรรจุอยู่ในวาระเรื่องด่วนที่ 1” ในการประชุมร่วมกันของ 2 สภา
       
       
ถึงวาระประชุมคราใดก็เป็นอันต้องถกกันสภาแทบล่มทุกครั้งว่าจะพิจารณาไปตามวาระหรือเลื่อนเรื่องที่บรรจุใหม่ขึ้นมาพิจารณาก่อน
       
       
เสียเวลาไม่ต่ำกว่า 1 – 2 ชั่วโมงทุกครั้งไป
       
       
ใครจะคิดอย่างไรไม่รู้ แต่ผมชอบสถานการณ์ปัจจุบันครับ เพราะมันทำให้ทุกคนแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาชัดเจน ไม่แอบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป
       
       
เรื่องที่หวังฟลุกล้มองคมนตรีทั้งคณะเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น
       
       
ยังมีอีกหลายเรื่องที่เมื่อเวลาผ่านไป ตัวตนของคนหลายคนแสดงออกมาชัดเจนขึ้น จนบางคน ล่อนจ้อนไปเลย
       
       
น่าเสียดายที่รัฐบาลชุดนี้มัวแต่เสียเวลาเปลี่ยนโลโกช่อง 11 เขียนหอยสังข์อยู่ 3 เดือนโดยไม่ทำหน้าที่นำความจริงออกมาล้างความเท็จนำความสว่างออกมาไล่ความมืดเลย ***

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

0604521216

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-06 12:16:41 IP : 124.121.138.44


ความคิดเห็นที่ 9 (2995112)

ทักษิณลำบากแน่ เจอ บัวแก้ว

เอาจริง ถอนพาสปอร์ตทุกเล่ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  15 เมษายน 2552

 

ปณิธานเผยกระทรวงการต่างประเทศสั่งเพิกถอนพาสปอร์ต นช.แม้วแล้วทุกเล่ม ทั้งเล่มสีแดง-สีน้ำตาล ชี้ทำตามระเบียบกระทรวงเรียกคืนหนังสือ สำหรับผู้ที่ทำความเสียหายต่อประเทศ ส่งผลทำให้ แม้วเดินทางลำบากแน่
       
       
วันนี้ (15 เม.ย.) นายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการถอดถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่าได้ทำการเพิกถอน หรือยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดแล้ว โดยเล่มสีแดงได้ยกเลิกไปก่อนหน้านี้นานแล้ว ส่วนเล่มสีน้ำตาลนั้น ยกเลิกเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา
       
       
นายปณิธานกล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ ปี 2548 มาตรา 23 วรรค 7 กระทรวงการต่างประเทศ สามารถเรียกคืนหนังสือเดินทางของผู้ที่อยู่ต่างประเทศ และทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ ซึ่งจะส่งผลทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางต่างประเทศในฐานะคนไทยได้ลำบาก แต่ก็ยังคงสัญชาติไทยได้ตามปกติ

- - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1504521955

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-15 19:55:44 IP : 124.121.142.120


ความคิดเห็นที่ 10 (2995561)

หมายจับเพิ่ม! 27 แกนนำ นปช.ขึ้นจ้อป่วนเมืองหลังออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน  โดย ทีมข่าวอาชญากรรม  16 เมษายน 2552

 

ตร.ออกหมายจับเพิ่ม 27 แกนนำเสื้อแดง ขึ้นเวทีปราศัยบนเวทีหลังออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งทีมสืบตามประกบตัว เจอที่ไหนจับได้ทันที ส่วนคดี 2 รปภ.ถูกฆ่าทิ้งเจ้าพระยาต้องรอผลตรวจทางนิติเวช คาดอาจเป็นเหตุฆ่าชิงทรัพย์หลังพบ จยย.ผู้ตายหายไป
       
       
วันนี้ (16 เม.ย.) ที่ บช.น.เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.ท.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น.ในฐานะโฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องสงสัย จำนวน 27 คน ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11 (1) ระบุว่า เป็นบุคคลต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำเช่นว่านั้น หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ประกอบด้วย
       
       1.
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       2.
นายวีระ มุสิกพงศ์
       3.
นายจตุพร พรหมพันธุ์
       4.
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
       5.
นายจักรภพ เพ็ญแข
       6.
นายอดิศร เพียงเกษ
       7.
นายเหวง โตจิราการ
       8.
นายสิรวิชญ์ พิมพ์กลาง
       9.
นายพีระ พริ้งกลาง
       10.
นายณรงค์ศักดิ์ มณี
      11.
นายณัฐพงศ์ อินทะนาง

       12.นายชิณวัฒน์ หาบุญพาด
       13.
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
       14.
พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์
       15.
นายนิสิต สินธุไพร
       16.
นายนพพร นามเชียงใต้
       17.
นายสำเริง ประจำเรือ
       18.
พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์
       19.
นายธนกฤต หรือ วันชน ชะเอมน้อย
       20.
นายสิงห์ทอง บัวชุม
       
       21.
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
       22.
นายศักดา นพสิทธิ์
       23.
นางศิริวรรณ นิมิตศิลปะ
       24.
นายธรชัย ศักดิ์มังกร
       25.
พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์
       26.
นายวรชน เหมะ
       27.
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
       
       
ทั้งนี้ ลงวันที่ 16 เม.ย.2552
       
       
รอง ผบช.น.กล่าวต่อว่า ผู้ต้องสงสัยดังกล่าวเป็นกลุ่มผู้ที่พูดปราศัยบนเวทีหลังจากที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้ว ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยตามหมายได้ครั้งละ 7 วัน รวมไม่เกิน 30 วัน หากภายใน 30 วัน มีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็สามารถปล่อยตัวได้
       
       “
เจ้าหน้าที่ส่งชุดสืบสวนประกบตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดแล้ว และสามารถจับกุมได้ทันที โดยจะนำตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไปสอบสวนที่ ตชด.ภาค 1 จังหวัดปทุมธานีโฆษกนครบาลกล่าว
       
       
นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุพรยังกล่าวถึงกรณี นายชัยพร หรือ โจกันทัง อายุ 29 ปี นายนัฐพงษ์ หรือแก๊ปปองดี อายุ 23 ปี ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต และโยนศพทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ภายหลังเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลทางนิติเวชว่าผู้ตายเสียชีวิตก่อนหรือหลังจมน้ำ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้ามาชุมนุม หรือเป็นเรื่องส่วนตัว จากการสืบสวนพบว่ารถจักรยายนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะของผู้ตายได้หายไป เจ้าหน้าที่เน้นประเด็นชิงทรัพย์เป็นหลัก ขณะนี้ขอเวลาให้พนักงานสอบสวนสักระยะ

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1604522147

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-16 21:47:50 IP : 124.121.135.22


ความคิดเห็นที่ 11 (2995747)

ไทยเผย ไม่มี กม.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับนิการากัว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  16 เมษายน 2552 16:54 น.

 

       
เอเอฟพี - ไทยเผยวันนี้ (16) ว่า ไม่มีข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับนิการากัว ซึ่งเพิ่งจะประกาศว่าออกหนังสือเดินทางนักการทูตให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
       
       
นายธฤต จรุงวัฒน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย เผยกับเอเอฟพี ว่า ไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับนิการากัว แต่ไม่มีข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
       
       
ไทยยังไม่ได้ยื่นประท้วงอย่างป็นทางการไปยังทางการในกรุงมานากัว ซึ่งแถลงว่าได้แต่งตั้งให้นักโทษชายทักษิณเป็นเอกอัครราชทูตพิเศษเพื่อช่วยดึงดูดการลงทุน
       
       “
นิการากัวสามารถให้อะไรก็ได้ที่ต้องการนายธฤต กล่าว

       
       
ทางการไทยได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของนักโทษชายทักษิณ เมื่อวานนี้ หลังจากที่กลุ่มสนับสนุนเขาไปบุกสร้างความวุ่นวายการประชุมอาเซียนซัมมิตในเมืองพัทยา จนทำให้การประชุมล่มกลางคัน
       
       
นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกของรัฐบาลไทย ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ สามารถยกเลิกและยึดหนังสือเดินทางคืนได้ถ้าพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ ขณะที่นักโทษชายทักษิณปฏิเสธว่าไม่ได้ยั่วยุกลุ่มผู้ประท้วง

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1704521105

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-17 11:05:48 IP : 124.121.144.192


ความคิดเห็นที่ 12 (2997087)

ปลัดฯ คลังช้ำชอก ป.ป.ช.คงคำวินิจฉัยเดิมฟันไม่ยั้ง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 เมษายน 2552

 

กล้านรงค์เผย ป.ป.ช.ไม่รับพิจารณาหลักฐานเพิ่มเติม ศุภรัตน์ ควัฒน์กุลปลัดคลัง ร้องขอพิจารณาหลักฐานเพิ่มเติมหวังพ้นผิด ชี้ข้อมูลเป็นของเก่าที่เคยพิจารณาไปแล้ว เตรียมแถลงข้อเท็จจริง 21 เม.ย.นี้ พร้อมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีต่อ
       
       
วันนี้ (20 เม.ย.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษก ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม โดยอ้างหลักฐานใหม่เพื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณากลับคำวินิจฉัยการลงมติชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง กรณีการแก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากรโดยมิชอบ สมัยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ได้ลงมติเรื่องดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว โดยพบว่าหลักฐานที่นายศุภรัตน์ยื่นขอความเป็นธรรมมาใหม่นั้น มีทั้งข้อมูลหลักฐานเก่าที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยพิจารณาไปแล้ว และมีหลักฐานใหม่บางส่วน
       
       
ทั้งนี้ หลักฐานใหม่ดังกล่าวนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่ใช่หลักฐานที่มีความสำคัญ ที่จะมีผลต่อการกลับคำวินิจฉัย ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ลงมติชี้มูลความผิดไปแล้วได้ จึงมีมติยืนยันตามคำวินิจฉัยเดิม คือ มีความผิดวินัยร้ายแรง และความผิดทางอาญา โดยให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษ ตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีต่อไป
       
       “
หลังจากนี้จะแจ้งมติดังกล่าวให้นายศุภรัตน์ ทราบต่อไป โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะแถลงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวให้ทราบอีกครั้ง ในวันที่ 21 เม.ย.นี้นายกล้าณรงค์กล่าว
       
       
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านั้น ป.ป.ช.ได้พิจารณาเรื่องการร้องขอความเป็นธรรมของนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง หลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดทางวินัย ในฐานะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักบริหาร 9 กระทรวงการคลัง นายศุภรัตน์ได้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้ระบุรายละเอียดข้อเท็จจริง และอ้างพยานหลักฐานอีกหลายประการ เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยทบทวนมติ
       
       
ทั้งนี้ กรณีของนายศุภรัตน์นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมทั้ง 3 ฉบับแล้ว ปรากฏว่าเป็นกรณีที่นายศุภรัตน์ได้อ้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลายประการ โดยระบุว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่เป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวน แต่มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานใหม่บ้าง และพยานหลักฐานนั้นเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนเพียงใด ดังนั้นเพื่อความชัดเจนและเพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม
       
       
รายงานข่าวแจ้งว่า ทั้งนี้ล่าสุดคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้เชิญนายศุภรัตน์มาชี้แจงถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใหม่ ในวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมาเพื่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะได้พิจารณาวินิจฉัยว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

                                     2004522009                     

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-20 20:09:34 IP : 124.121.143.221


ความคิดเห็นที่ 13 (3001257)

"วสิษฐ เดชกุญชร"ย้ำชัด "นช.แม้ว"มุ่งทำลายพระมหากษัตริย์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  28 เมษายน 2552

 

อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจเขียนบทความตอบโต้"นช.แม้ว" ระบุชัด ให้สัมภาษณ์"ไฟแนนเชียลไทมส์"ปรักปรำในหลวงรู้เหตุการณ์ 19 ก.ย.ล่วงหน้า จงใจหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ผิด ม.112 ย้ำพฤติกรรมสะท้อน ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมุ่งทำลายพระมหากษัตริย์
       
       
หนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552 หน้า 6 ได้ตีพิมพ์บทความของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ และอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ เรื่อง"เมื่อมันกำลังเผาเมืองไทย คนไทยก็ต้องช่วยกันดับไฟ" เพื่อตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนลเชียลไทมส์ ของอังกฤษ ฉบับวันที่ 20 เมษายน 2552 มีเนื้อหาตอนหนึ่งปรักปรำพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งสะท้อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณจงใจที่จะจาบจ้วงหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงตามมาตรา 112 และเห็นว่าพฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงชัดแล้วว่า ไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมุ่งทำลายพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน ดังรายละเอียดของบทความดังนี้
       
       
"เมื่อมันกำลังเผาเมืองไทย คนไทยก็ต้องช่วยกันดับไฟ
       
       
ใครๆ ที่ได้อ่านข่าว (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียลไทมส์ เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านไปแล้ว คงมีความรู้สึกไม่ต่างกับผม
       
       
คือรู้สึกว่า ถ้า (พ.ต.ท.) ทักษิณไม่มีความรู้เลยในเรื่องระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (พ.ต.ท.) ทักษิณก็คงจะไร้เดียงสา หรือโง่ หรือบ้า
       
       
หรือมีเจตนาที่จะทำลายระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
       
       
ก่อนที่จะอ่านเรื่องนี้ต่อไป ผมขอชี้แจงว่า ที่ผมใส่วงเล็บไว้หน้าและหลังคำ "พ.ต.ท." หน้าชื่อ "ทักษิณ" ในการเขียนเรื่องนี้ ก็เพราะผมรู้สึกกระดากมือและกระดากใจที่จะใส่ยศเข้าไปเต็มๆ ที่หน้าชื่อ "ทักษิณ" เพราะ (พ.ต.ท.) ทักษิณได้ทำความเสียหายและอับอายขายหน้าอย่างเหลือเกินให้แก่ราชการตำรวจ ด้วยการหนีโทษตามคำพิพากษาของศาล แล้วยังเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้เกิดความไม่สงบขึ้นในประเทศ จนตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาอีกด้วย จึงไม่สมควรจะมีหรือใช้ยศตำรวจ และควรจะถูกถอดยศได้แล้ว แต่เมื่อยังมียศอยู่ ผมก็จะใช้ยศนั้นในวงเล็บไปพลางก่อน เมื่อใดที่ถูกถอดยศแล้ว เมื่อนั้นผมจึงจะเรียกว่านายทักษิณ
       
       
เรื่องเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของ (พ.ต.ท.) ทักษิณนั้น เดี๋ยวนี้ผมไม่อยากเขียน เพราะ (พ.ต.ท.) ทักษิณพูดเพ้อเจ้อและโกหกมดเท็จทุกครั้ง การเขียนและพิมพ์เรื่องการให้สัมภาษณ์ของ (พ.ต.ท.) ทักษิณจึงไร้ประโยชน์ และกลายเป็นช่วยแพร่การเพ้อเจ้อและโกหกมดเท็จ แต่เมื่อทั้งสื่อเทศและสื่อไทยยังเผยแพร่การโกหกมดเท็จนั้นอยู่ และเมื่อการโกหกมดเท็จของ (พ.ต.ท.) ทักษิณอาจกระทบกระเทือนและเสียหายร้ายแรงต่อบ้านเมือง ผมก็ถือเป็นหน้าที่ของผม ที่จะต้องตอบโต้หรือคัดค้าน
       
       
ข่าวการให้สัมภาษณ์ของ (พ.ต.ท.) ทักษิณคราวนี้ ปรากฏในหนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียลไทมส์ ฉบับวันที่ 20 เมษายน 2552 (พ.ต.ท.) ทักษิณให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น สองคน คือนายรอบิน วิกเกิลสเวอร์ธ (Robin Wigglesworth) ในนครดูไบ และนางสาว (หรือนาง) เซรีนา ทาร์ลิงก์ (Serena Tarling) ในนครลอนดอน (พ.ต.ท.) ทักษิณบอกว่า ก่อนที่จะเกิดรัฐประหารขึ้นในเดือนกันยายน 2549 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี (ในขณะนั้น) และองคมนตรีอีกผู้หนึ่ง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และผู้ที่เข้าเฝ้าฯ ได้กราบบังคมทูลว่า จะกำจัด (พ.ต.ท.) ทักษิณ ถวาย เพราะ (พ.ต.ท.) ทักษิณไม่จงรักภักดีต่อฝ่าละอองธุลีพระบาท (they will do a favour for him by getting me because I am not loyal to the king) (พ.ต.ท.) ทักษิณบอกด้วยว่า หลังจากนั้น เมื่อตนพยายามจะปราบปรามการประท้วงที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลก็ไม่มีผู้ใดร่วมมือ เพราะมีบางคนส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง (there is someone boosting behind them)
       
       (
พ.ต.ท.) ทักษิณอ้างว่า ตนทราบเรื่องนี้จาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี
       
       
ก่อนอื่นควรทราบว่า การเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทมิใช่เป็นเรื่องง่าย แม้จะเป็นเรื่องสำคัญหรือเร่งด่วนที่สุด และแม้ผู้ขอเฝ้าฯ จะเป็นประธานองคมนตรีหรือองคมนตรีก็ตาม การขอเฝ้าฯ มีขั้นตอนของการปฏิบัติที่ทุกคนต้องทำตาม และต้องผ่านเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะสำนักราชเลขาธิการ และเมื่อเสด็จลงให้เฝ้าฯ ก็มีเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายเฝ้าฯ ปฏิบัติหน้าที่ถวายอยู่ในที่ประทับด้วยเสมอ
       
       
ผู้อ่านที่มีสติสัมปชัญญะและมีเหตุผลย่อมรู้และเข้าใจทันทีเมื่อได้อ่านข่าวนี้ว่า หากมีการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทและกราบบังคมทูล ดังที่ (พ.ต.ท.) ทักษิณอ้างว่าทราบจาก พล.อ.พัลลภ พล.อ.พัลลภก็ต้องรู้เรื่องการเฝ้าฯ นั้นจากคนอื่น และ "คนอื่น" นั้นจะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก พล.อ.เปรม หรือ พล.อ.สุรยุทธ์ หรือองคมนตรีอีกผู้หนึ่ง (ที่ (พ.ต.ท.) ทักษิณอ้างว่าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่ด้วย) หรือเจ้าหน้าที่ที่โดยหน้าที่จะต้องเฝ้าฯ อยู่ในที่ประทับ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งในที่นั้นก็คือสมุหราชองครักษ์
       
       
คงรู้และจำกันได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางพระองค์อยู่ในฐานะพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่เคยปรากฏว่าเคยทรงล่วงพระราชอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เมื่อมีวิกฤตการณ์บ้านเมืองไม่ว่าครั้งใด ทรงถือว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลจะต้องแก้ไขปัดเป่า ต่อเมื่อเป็นที่เห็นชัดว่า วิกฤตการณ์ลุกลามร้ายแรง เช่น มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงจะทรงพระกรุณาระงับวิกฤตการณ์ แต่ก็ด้วยการพระราชทานคำแนะนำแก่รัฐบาลเท่านั้น
       
       
องคมนตรีทุกคนทราบดีว่า รัฐบาลชุดที่ (พ.ต.ท.) ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีและชุดอื่นๆ ทุกชุด เป็นรัฐบาลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ เป็นไปได้หรือที่ พล.อ.เปรม หรือ พล.อ.สุรยุทธ์ หรือองคมนตรีคนไหนก็ตาม จะเข้าไปเฝ้าฯ กราบบังคมทูลว่า ตนเองจะละเมิดกฎหมายละเมิดรัฐธรรมนูญถวาย ด้วยการกำจัด (พ.ต.ท.) ทักษิณ นายกรัฐมนตรีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง?
       
       
การให้สัมภาษณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่องรัฐประหารก่อนเช่นนั้น เป็นการปรักปรำหรือกล่าวหาฝ่าละอองธุลีพระบาทโดยตรงและอย่างเปิดเผย ว่าทรงอนุญาตหรือทรงอนุโลมให้เกิดรัฐประหาร แสดงว่า (พ.ต.ท.) ทักษิณไม่เคารพสักการะพระมหากษัตริย์ และจงใจหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
       
ขณะที่เขียนเรื่องนี้ ผมยังไม่เห็นหรือได้ยินประกาศหรือแถลงการณ์ของส่วนราชการใด ปฏิเสธการปรักปรำกล่าวหาของ (พ.ต.ท.) ทักษิณ แต่ผมเห็นว่าคนไทยที่เคารพสักการะพระมหากษัตริย์และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่จำเป็นต้องคอยทางราชการต่อไปอีกแล้ว แต่ควรตระหนักกันเสียทีว่า พฤติการณ์ของ (พ.ต.ท.) ทักษิณแสดงชัดแล้วว่า (พ.ต.ท.) ทักษิณไม่ต้องการระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมุ่งทำลายพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน
       
       
ตลอดเวลา 62 ปีที่ทรงครองราชย์มา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงให้ประจักษ์ด้วยพระราชกรณียกิจทั้งน้อยและใหญ่นานัปการ ว่าทรงอุทิศพระวรกายให้แก่ประชาชนและบ้านเมือง โดยปราศจากเงื่อนไข ทรงตรากตรำพระวรกาย จนพระพลานามัยไม่สมบูรณ์และทรงพระประชวร แม้กระนั้นก็ยังไม่ทรงหยุด ยังทรงตั้งพระทัยทำงานเพื่อคนไทยและเมืองไทยต่อไป
       
       
เรารู้ด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงติดยึดกับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ทรงทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และทรงถือเอาความสำเร็จของพระราชภารกิจเป็นสำคัญ ทั้งยังทรงยึดมั่นในขันติธรรม การให้ร้ายและแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์ของ (พ.ต.ท.) ทักษิณหรือของใครก็ตาม ไม่เคยทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสะทกสะท้านหรือหวั่นไหว หรือกริ้ว หรือน้อยพระราชหฤทัย
       
       
เพราะฉะนั้น จึงถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยที่ตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณ เคารพสักการะพระมหากษัตริย์ และยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องพิจารณาตัดสินใจว่า จะควรทำอย่างไร กับผู้ที่ไม่แต่จะจาบจ้วงลบหลู่ดูหมิ่นและหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพสักการะของเราเท่านั้น แต่ยังพยายามที่จะล้มระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วย"
       

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2904520645 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-29 06:45:54 IP : 124.121.138.120


ความคิดเห็นที่ 14 (3006463)

หม่อมปนัดดายันนายกฯ อยู่ในรถ ตอนเสื้อแดงบุกมหาดไทย

                มล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ในฐานะโฆษกฝ่ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดง ระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้อยู่ในรถคันที่ถูกทุบ ในวันเกิดเหตุวุ่นวายที่หน้ากระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ว่า มีสื่อหลายฉบับถามว่า ทำไมเรื่องนี้ฝ่ายมหาดไทยถึงเงียบ ตนจึงขอชี้แจงว่า เมื่อวันที่เกิดเหตุความไม่สงบ ตนอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว และยืนยันว่า ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ต้องเดินทางออกจากกระทรวงมหาดไทยด้วยรถที่ถูกทุบจริง ทั้งนี้ ค่าเสียหายว่า กำลังประเมินกันอยู่

                มล.ปนัดดา กล่าวว่า ต่อไปการรักษาความปลอดภัยของกระทรวงมหาดไทยต้องเข้มงวดมากขึ้น เพราะพื้นที่ของกระทรวงถือเป็นสถานที่ราชการที่ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ซึ่งการที่ออกมายืนยันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ตนไม่ได้ต้องการชนกับฝ่ายไหน เพียงแค่ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริง และกระทรวงมหาดไทยไม่ใช่สถานที่จัดฉากหรือละครอะไรแน่นอน

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1205521608 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-12 16:08:48 IP : 124.121.139.197


ความคิดเห็นที่ 15 (3007002)

อนุฯ แก้ไข รธน.มีมติเลือกตั้ง ส.ส.เขตเดียวเบอร์เดียว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   13 พฤษภาคม 2552

 

คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง มีมติเบื้องต้น เห็นด้วยให้การได้มาซึ่ง ส.ส.มีลักษณะแบบแบ่งเขต หรือเขตเดียวเบอร์เดียว และเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ อย่างไรก็ตาม มติดังกล่าวจะเสนอให้คณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาอีกครั้งสัปดาห์หน้า
       
ขณะที่ วันพรุ่งนี้(14 พ.ค.) เวลา 09.30 น.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญมาตรา 68 และมาตรา 237 ว่าด้วยการยุบพรรค อย่างไรก็ตาม ในการประชุมจะพิจารณาข้อเสนอจากพรรคการเมืองและภาคส่วนต่างๆ เข้าสู่อนุกรรมการ
       
ด้าน พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานอนุกรรมการ กล่าวว่า จะพิจารณาว่ามีรัฐธรรมนูญมาตราใดบ้างที่ต้องปรับ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยหยิบยกประเด็นสำคัญมาพิจารณาก่อน จะแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์หน้า
       
สำหรับบรรยากาศการประชุม มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือด ระหว่าง พล.อ.เลิศรัตน์ และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อนุกรรมการ ที่ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จนในช่วงบ่าย นายเจิมศักดิ์ไม่ได้เข้าร่วมประชุมแต่อย่างใด

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

13055211745         

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-13 17:44:10 IP : 124.121.77.219


ความคิดเห็นที่ 16 (3017109)

โปรดเกล้าฯเรียกประชุมวิสามัญ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ไว้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2552 เป็นปีที่ 64 ในรัชกาลปัจจุบัน ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ สมควรที่จะเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ อาศัยอาจตามความในมาตรา 128 และมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2552 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2552 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

0406522112 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-06-04 21:11:57 IP : 124.121.144.150


ความคิดเห็นที่ 17 (3017752)

ห่วงคอร์รัปชั่นฝังหัวคนรุ่นใหม่ มาร์คหนุนป.ป.ช.ลุยขรก.ทุจริต

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มิถุนายน 2552

 

ASTVผู้จัดการรายวัน-"มาร์ค"ระบุการทุจริต คอร์รัปชั่น เป็น"มะเร็งสังคม" ห่วงคนรุ่นใหม่เห็นเป็นเรื่องปกติ ที่จะนำไปสู่ความเจริญในหน้าที่การงาน ย้ำ"ซื่อสัตย์-นับถือตัวเอง" ป้องกันได้ พร้อมสนับสนุนการทำงานของป.ป.ช.จัดการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ที่ประพฤติมิชอบ เผยลงนามสัตยาบรรณกับยูเอ็น ต่อต้านทุจริต
       
       
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาในการประชุมวิชาการ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่โรงแรมสยาม ซิตี้ มีใจความสำคัญว่า การประชุมครั้งนี้มีจุดประสงค์ร่วมกันในการบรรเทาและกำจัดการทุจริตให้หมดไปจากสังคม การทุจริตถือเป็นปัญหาสำคัญที่เราต่อสู้เป็นเวลายาวนาน ข้อเท็จจริงคือ หากเกิดการทุจริตเกิดขึ้น สังคมจะประณามโดยสาธารณะ ถือเป็นอาชญากรรมทางกฎหมาย อีกทั้งถือเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและการพัฒนาด้านสังคม สิ่งสำคัญที่สุดคือ เรื่องศีลธรรมของประเทศชาติ อย่างที่ทราบกันว่าการทุจริตเกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบ แบบที่เห็นกันมากคือ การติดสินบนของเอกชนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อได้เปรียบ หรือผลประโยชน์กำไรต่อคู่แข่งขัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจใช้อำนาจไปในทางที่ผิด นอกจากนี้ยังมีการนำรายได้หรืองบประมาณของรัฐไปใช้ในการทุจริต
       
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การต่อสู้กับการปราบปรามทุจริต ต้องรับทราบอยู่ตลอดเวลา ในเรื่องของรูปแบบของการทุจริตมีวิวัฒนาการต่อไปเรื่อยๆ เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางธรรมชาติ หรือสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม การใช้ตำแหน่งหน้าที่ของรัฐไปในทางที่ผิดทำให้ทรัพยากรของประเทศถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แทนที่จะเป็นผลประโยชน์ของรัฐหรือสังคมโดยรวม
        "
สิ่งที่น่าตกใจกลัว คือตั้งแต่ในอดีต การทุจริตมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีความรุนแรงมากขึ้นและเป็นสิ่งที่อาจจะถูกยอมรับโดยคนบางคน ถือว่าน่าตกใจว่า คนรุ่นใหม่ เติบโตมามีแนวคิดว่า การทุจริตเป็นสิ่งที่ไม่ผิดในการขโมย ติดสินบน เพื่อทุจริตในการสร้างความมั่นใจว่าจะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หรือทำให้ตัวเองร่ำรวย ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาลที่ต้องมีความเข้าใจในเรื่องความรุนแรงของปัญหาการทุจริต รวมถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นในการพัฒนาระยะยาวในเรื่องความเป็นอยู่ เหมือนกับมะเร็งของสังคมนั่นเอง" นายอภิสิทธิ์กล่าว
       
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นอกจากการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ก็ต้องมีการณรงค์อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในการยกระดับการรับรู้ ของการปราบปรามการทุจริต คือ ต้องมีตัวอย่างที่ดีในสังคม และมีธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์ ประเทศไทยโชคดีที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ให้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตนจะไม่พูดถึงแต่อยากจะบอกว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นแนวทางที่แนะนำว่า เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ดีในการนำมาต่อต้านการทุจริต
       
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลจะปฏิรูปกฎระเบียบต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้ใครก็ตามใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือได้รับผลประโยชน์ทับซ้อน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมความซื่อสัตย์ของคนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องมีกลไกการควบคุมและส่งเสริม ปรับปรุงระบบราชการต่างๆ ให้สามารถตรวจสอบได้ด้วยความโปร่งใส รวมไปถึงภาคส่วนต่างๆ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาคการเงิน องค์กรภาคประชาชน ภาคประชาสังคมและวิชาชีพต่างๆ ภาคีต่างๆ ทั้งนี้ต้องมีกราบกฎหมายที่ดี สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆของภาครัฐได้
       
นาย อภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า หน่วยงาน ป.ป.ช.ของไทยถือเป็นหน่วยงานที่ท้าทาย ทำให้เกิดระบบการกำกับดูแลกิจการบ้านเมืองที่ดี ตนต้องขอขอบคุณ คณะกรรมการป.ป.ช.ทุกท่าน ที่มุ่งมั่นทำงาน และแสดงความรับผิดชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หวังว่าผลการวิจัยต่างๆของป.ป.ช.จะเป็นรูปธรรม ในฐานะรัฐบาลได้จัดทำความร่วมมือ ข้อตกลงกับต่างประเทศในการลงนามกับองค์การสหประชาชาติ ว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตและได้ให้สัตยาบันสำหรับกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตนได้รับแจ้งจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กำลังพิจารณาในเวทีสากล
       
ทั้งนี้ ครม.มีมติให้จัดประชุมด้านการทุจริตในการต่อต้านการทุจริต และมีการแลกเปลี่ยนงานดังกล่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ รัฐบาลมีความเชื่อมั่นและตั้งสัตยาบันในการต่อต้านการทุจริตด้วยกฎหมายที่ดี แน่นอนว่า แม้เราจะไม่สามารถกำจัดการทุจริตออกไปจากสังคมไทยได้ แต่เราก็สามารถแก้ไขและป้องกันได้ด้วยค่านิยมที่ดี สำหรับคนรุ่นใหม่ให้มีความซื่อสัตย์ และเคารพนับถือในตัวเอง

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

0606520845      

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-06-06 08:45:42 IP : 124.121.139.119


ความคิดเห็นที่ 18 (3020683)

เตรียมให้อัยการสูงสุดฟัน"วัฒนา เมืองสุข"ทุจริตบ้านเอื้ออาทร

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม   14 มิถุนายน 2552

 

รองอัยการสูงสุด เตรียมชง"ชัยเกษม นิติสิริ" ชี้ขาด"วัฒนา เมืองสุข" กับพวก 7 คน ทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร กลางสัปดาห์นี้ เผยหากมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองต่อไป
       

       
วานนี้ (13 มิ.ย.)นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กล่าวว่า คณะทำงานอัยการได้พิจารณาสำนวนคดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีความเห็นสั่งฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายพรพรหม วงศ์วิทัศน์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง สส.กทม. นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว และบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ รวม 7 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
       
       
กรณีเรียกรับเงินผู้ประกอบการเอกชนในโครงการดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว และเตรียมเสนอให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาอีกครั้งกลางสัปดาห์นี้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยความเห็นได้ อย่างไรก็ตามหาก อสส.จะมีความเห็นตามที่ ป.ป.ช.มีความเห็นให้สั่งฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนดังกล่าว อัยการก็จะยื่นฟ้องทั้งหมดเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป แต่หาก อสส.มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาบางคน ก็จะต้องไปปรึกษากับ ป.ป.ช. อีกครั้ง
       
       
นายวัยวุฒิ กล่าวว่า คดีนี้ ป.ป.ช. มีความสมควรสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดรวม 20 คน แต่ส่งสำนวนให้อัยการเพียง 7 คน ส่วนที่เหลืออีก 13 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาตินั้น ป.ป.ช. แยกเป็นอีก 1 สำนวน แต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งคณะทำงานได้ทำข้อสังเกตุไปยัง ป.ป.ช.ว่า เป็นเรื่องผิดปกตินักการเมืองจะกระทำผิดโดยไม่มีข้าราชการให้ความร่วมมือ โดยอัยการอยากให้ส่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองสำนวนเป็นคดีเดียวกัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1406520739       

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-06-14 07:40:01 IP : 124.121.139.153


ความคิดเห็นที่ 19 (3020684)

เตรียมให้อัยการสูงสุดฟัน"วัฒนา เมืองสุข"ทุจริตบ้านเอื้ออาทร

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม   14 มิถุนายน 2552

 

รองอัยการสูงสุด เตรียมชง"ชัยเกษม นิติสิริ" ชี้ขาด"วัฒนา เมืองสุข" กับพวก 7 คน ทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร กลางสัปดาห์นี้ เผยหากมีความเห็นสั่งฟ้อง ก็จะยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีการเมืองต่อไป
       

       
วานนี้ (13 มิ.ย.)นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กล่าวว่า คณะทำงานอัยการได้พิจารณาสำนวนคดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีความเห็นสั่งฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายพรพรหม วงศ์วิทัศน์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง สส.กทม. นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว และบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ รวม 7 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
       
       
กรณีเรียกรับเงินผู้ประกอบการเอกชนในโครงการดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว และเตรียมเสนอให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาอีกครั้งกลางสัปดาห์นี้ แต่ไม่สามารถเปิดเผยความเห็นได้ อย่างไรก็ตามหาก อสส.จะมีความเห็นตามที่ ป.ป.ช.มีความเห็นให้สั่งฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คนดังกล่าว อัยการก็จะยื่นฟ้องทั้งหมดเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป แต่หาก อสส.มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาบางคน ก็จะต้องไปปรึกษากับ ป.ป.ช. อีกครั้ง
       
       
นายวัยวุฒิ กล่าวว่า คดีนี้ ป.ป.ช. มีความสมควรสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดรวม 20 คน แต่ส่งสำนวนให้อัยการเพียง 7 คน ส่วนที่เหลืออีก 13 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาตินั้น ป.ป.ช. แยกเป็นอีก 1 สำนวน แต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งคณะทำงานได้ทำข้อสังเกตุไปยัง ป.ป.ช.ว่า เป็นเรื่องผิดปกตินักการเมืองจะกระทำผิดโดยไม่มีข้าราชการให้ความร่วมมือ โดยอัยการอยากให้ส่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองสำนวนเป็นคดีเดียวกัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1406520740       

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-06-14 07:40:46 IP : 124.121.139.153


ความคิดเห็นที่ 20 (3022598)

ในหลวงโปรดเกล้าฯ ปิดสมัยประชุม 23 มิ.ย.นี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์  18 มิถุนายน 2552

 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญแล้ว ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้
       
       
วันนี้ (18 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า ตามที่ได้ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2552 ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2552 นั้น บัดนี้ สมควรจะปิดประชุมได้แล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 128 และมาตรา 187 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ.2552 ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2552 เป็นต้นไป ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1906520828       

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-06-19 08:28:39 IP : 124.121.135.26



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 802/410 หมู่12 หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร : 02-990-0331 Copyright © 2010 All Rights Reserved.