ReadyPlanet.com


ภัยเงียบจาก....โลกร้อน


ทะเลกรด ภัยเงียบจากโลกร้อน

เมื่อโลกผิดสำแดง จากผลของสภาวะโลกร้อน สิ่งที่เกิดในทะเลจึงกลายเป็นภัยคุกคามมนุษย์ เช่น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ฯลฯ ภัยดังกล่าวอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด หากดูเฉพาะประเทศไทย เราได้รับผลกระทบหลายด้าน เช่น คลื่นลมรุนแรงจนชายฝั่งพังทลาย ปะการังฟอกขาวเนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ปะการังอ่อนตายเนื่องจากคลื่นน้ำเย็นเข้ามาในฝั่งอันดามัน แพลงก์ตอนเพิ่มจำนวนอย่างผิดสังเกต ทำให้คุณภาพน้ำเปลี่ยนไป ส่งผลถึงสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า เห็นแล้วเข้าใจได้ แต่ถ้าพูดถึงในระยะยาว เรากำลังเผชิญหน้ากับมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่ – ทะเลกรด
       
       ถึงตอนนี้ ดร.ไมเคิล เริ่มอธิบาย พวกเราคงทราบดี ปัจจุบัน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีปริมาณเพิ่มขึ้นมหาศาล เนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แก๊สธรรมชาติ ตลอดจนการตัดไม้ทำลาย และอื่น ๆ อีกนานัปการ ทุกคนเริ่มตระหนักถึงผลพวงที่เกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ แต่น้อยคนนักที่ทราบว่า ร้อยละ 48 หรือเกือบครึ่งหนึ่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยไป ลงไปสะสมอยู่ในน้ำทะเล ทั้งจากฝนกรดหรือน้ำฝนที่ละลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลงสู่ทะเล และจากการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างอากาศกับผิวหน้าน้ำ อย่าลืมว่า ร้อยละ 70.8 ของโลกคือทะเล ก๊าซมหาศาลจึงละลายลงไปในน้ำ
       
       ค่าคุณสมบัติความเป็นกรดเป็นด่าง หรือที่เรารู้จักกันในนาม pH เป็นตัวเลขระหว่าง 1-14 ค่าที่อยู่ตรงกลางคือ 7 หากเป็นกรดมากขึ้น ตัวเลขจะลดลง หากเป็นด่างมากขึ้น ตัวเลขจะเพิ่ม น้ำทะเลมีคุณสมบัติเป็นด่างเล็กน้อย ค่า pH อยู่ประมาณ 8-8.1 (ค่านี้ไม่มีหน่วย)
       
       ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อละลายลงไปในน้ำ ทำให้น้ำทะเลมีคุณสมบัติเปลี่ยนไป กลายเป็นกรดมากขึ้น ดร.ไมเคิลและทีมงานติดตามการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของน้ำทะเลดังกล่าว โดยอาศัยฐานข้อมูลของอังกฤษ หนึ่งในประเทศริเริ่มด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลของโลก การเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ทำให้สามารถดูความเปลี่ยนแปลงของค่า pH ในน้ำทะเลได้ และข้อมูลชี้ว่า น้ำทะเลมีค่า pH 7.8-7.9 หมายถึงเริ่มมีความเป็นกรดมากขึ้น แม้ตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงเพียง 0.1-0.2 อาจดูน้อยนิด แต่ผลที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่นัก
       
       ความน่ากลัวของทะเลกรด มิใช่น้ำทะเลจะกลายเป็นกรดถึงขั้นกัดกร่อนเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ ละลายเรือให้จมลง หรือภัยพิบัติประเภทตูมตามเช่นนั้น แต่จะเป็นภัยเงียบที่ส่งผลถึงขั้นพลิกโลก เพราะสิ่งมีชีวิตเริ่มต้นในทะเล ผ่านการวิวัฒนาการยาวนาน ปะการังเกิดมาเมื่อกว่า 400 ล้านปีก่อน กุ้งหอยปูปลาล้วนมีบรรพบุรุษยาวนานสิบล้านร้อยล้านปี บรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ คุ้นเคยกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเชื่องช้า ในระดับเป็นล้านปีขึ้นไป สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวได้ในภาวะดังกล่าว
       
       แต่ผลจากการกระทำของมนุษย์ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ค่า pH ที่เปลี่ยนแปลงในระยะเวลาหลักร้อยปี ทั้งที่ควรจะเป็นล้านปีหรือกว่านั้นตามสภาพธรรมชาติ ทำให้สิ่งมีชีวิตมิอาจวิวัฒนาการได้ทัน มหันตภัยจึงเกิดขึ้น
       
       คุณสมบัติความเป็นกรดด่างของน้ำทะเล เกี่ยวข้องโดยตรงกับสัตว์หลากหลาย โดยเฉพาะพวกที่จำเป็นต้องสร้างโครงสร้างหินปูนเพื่อดำรงชีวิต เช่น เม่นทะเล หอย ปะการัง ฯลฯ เมื่อคุณสมบัติของน้ำทะเลเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กระบวนการสร้างหินปูนไม่สามารถทำได้อย่างราบรื่น ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทางทะเล
       
       ในอีกกรณี แม้สัตว์อาจไม่มีกระบวนการดังกล่าว แต่ค่า pH ที่เปลี่ยนแปลงไป จะส่งผลในรูปแบบอื่น ๆ ดร.ไมเคิลยกตัวอย่างการทดลองกับไส้เดือนทะเล เขาพบว่า สเปิร์มของไส้เดือนทะเลจะเคลื่อนที่ช้าลงมากในสภาวะดังกล่าว ทำให้เกิดปัญหากับการสืบพันธุ์ ในขณะที่ดาวทะเลในน้ำที่มีสภาพเป็นกรด จะพยายามออกไข่ให้มากที่สุด ก่อนตัวเองจะตาย แต่ไข่ที่ออกมากลับอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดลูกหลาน
       
       ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากทะเลกรดต่อสิ่งมีชีวิต แยกได้เป็น 2 กรณี หนึ่งคือเกิดโดยตรงกับสิ่งมีชีวิตทางทะเลบางกลุ่ม ทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ สองคือผลกระทบทางอ้อม เมื่อไม่มีสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ย่อมส่งผลต่อสัตว์อื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสัตว์พวกนี้ เช่น ปลากินไส้เดือนทะเลเป็นอาหาร ปลาใช้ปะการังเป็นที่หลบภัย ฯลฯ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศอย่างรุนแรง
       
       ถึงตอนนี้ ผู้ที่เข้าฟังเริ่มสงสัย หมายถึงเราจะไม่มีปะการังให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว อย่างนั้นใช่ไหม ? ใช่ครับ แต่นั่นเป็นภัยที่ตามองเห็น เข้าใจได้ง่าย ยังมีภัยเงียบที่น่ากลัวกว่านั้นเยอะ เช่น กรณีของแพลงก์ตอนพืช หลายชนิดมีการสร้างเปลือก เมื่อเกิดภาวะดังกล่าว แพลงก์ตอนพืชจะสร้างเปลือกไม่ได้ ปริมาณอาจลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว
       
       แพลงก์ตอนพืชคือพื้นฐานของระบบนิเวศทางทะเลทุกรูปแบบ ในฐานะผู้ผลิตที่กลายเป็นอาหารของทะเล อีกกรณีหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบ ในระหว่างที่เราคิดว่า ต้นไม้มีความสำคัญต่อโลก ในฐานะผู้ดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่แท้ที่จริง แพลงก์ตอนพืชมีความสำคัญมากกว่า เพราะทะเลมีแพลงก์ตอนพืชมหาศาล อีกทั้งทะเลยังกว้างใหญ่กว่าผืนดิน เมื่อแพลงก์ตอนพืชเกิดความเปลี่ยนแปลง ผลที่เกิดขึ้นจึงร้ายแรงสุดประมาณ
       
       ทุกกรณีที่กล่าวมา ไม่ได้หมายความว่า ทะเลจะตาย ไม่เหลือสัตว์น้ำในทะเล แต่หมายความว่า เรากำลังเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เผชิญกับอนาคตที่ไม่อาจฟันธง ทะเลที่จะเปลี่ยนไป แพลงก์ตอนบางชนิดอาจเพิ่มจำนวนขึ้นมาแทน แต่ส่งผลกระทบในอีกแง่มุมหนึ่ง ปลาบางชนิดอาจลดน้อยลง สัตว์อื่นอาจมีปริมาณมากขึ้นมาแทน มนุษย์จึงต้องปรับตัว และการปรับตัวในระยะเวลาอันสั้น ไม่ง่ายหรอกครับ เพราะทุกอย่างที่เราคุ้นเคยในวันนี้ จะไม่เหมือนเดิม การปรับตัวที่เกิดขึ้น ย่อมลำบากแสนสาหัส
       
       ทะเลกรดยังส่งผลต่อคุณภาพน้ำ อยากให้ลองคิดว่า ทะเลคือที่กักเก็บขยะขนาดยักษ์ มลพิษทั้งหลายในแผ่นดิน ทั้งจากที่มนุษย์ทำขึ้น และจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น แร่ธาตุที่ถูกชะล้างลงแม่น้ำต่อไปถึงทะเล สิ่งที่ทะเลทำคือการสะสมสารบางอย่างไว้ในตะกอนที่พื้นท้องทะเล ไม่ปล่อยขึ้นมาให้เกิดปัญหา แต่เมื่อค่า pH เปลี่ยน สารหลายอย่างสามารถละลายกลับขึ้นมาสู่มวลน้ำทะเลได้ คุณสมบัติของน้ำทะเลอาจเปลี่ยนไป ยังหมายถึงสารที่สะสมในสัตว์น้ำ ที่อาจส่งผลต่อมนุษย์ กระบวนการนี้ลึกลับซับซ้อน นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามศึกษา เพื่อหาทางทำความเข้าใจและทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
       
       คราวนี้เราจะดูว่า เมื่อไหร่ถึงจะเผชิญภาวะเช่นนั้น ดร.ไมเคิลอธิบาย ภาวะดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นแล้ว และกำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากทุกอย่างเป็นไปในสภาพนี้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ภายใน 50 ปี ค่า pH จะลดลงเหลือ 7.6 และหากเกิดภาวะนั้นจริง ผลจากการทดลองยืนยันว่า สัตว์ทะเลหลายชนิดจะได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน
       
       ห้าสิบปี นานเหมือนกันนะ แต่ขอทำความเข้าใจว่า ภาวะดังกล่าวไม่ใช่รออีก 50 ปีแล้วจะเกิด แต่จะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ สะสมต่อกันไป ทะเลกรดยังไม่ใช่ภาวะเดียวที่ส่งผลกระทบกับสรรพชีวิตในทะเล ยังมีปรากฏการณ์อื่น ๆ เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลเฉลี่ยสูงขึ้น ดังที่ผมเล่าถึงในสัปดาห์ก่อน
       
       การรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนจึงต้องดำเนินต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในทางที่ดี ในปีหน้าและในรัฐบาลที่พวกเรากำลังจะได้มา มิฉะนั้น อีกไม่กี่ปี เราอาจต้องอวยพรในวันปีใหม่
“ขอให้มีปลากินนะ ขออย่าให้ลูกคุณขาดอาหาร”
       
       หากเรายังนิ่งดูดาย สร้างแต่กระแสตามโลกไปเรื่อย ไม่คิดยืนหยัดขึ้นมาหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เค้าให้ไปประชุมก็ไป เค้าให้เซ็นสัญญาก็เซ็น ปีหน้าหรือปีไหน รัฐบาลหน้าหรือรัฐบาลไหน เตรียมเขียน ส.ค.ส. ไว้รอล่วงหน้าได้เลยครับ...



ผู้ตั้งกระทู้ พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ :: วันที่ลงประกาศ 2007-12-31 21:22:33 IP : 124.121.137.66


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1349357)

2007 ปีแห่งสารพัดการเปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ "โลกร้อน"

เอเอฟพี - ตั้งแต่หัวปียันท้ายปีไม่มีใครไม่พูดถึงภาวะโลกร้อนและเหตุเภทภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบปี ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สังเกตเห็นชัดเจน หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่สามารถสัมผัสได้ เรียกได้ว่าขณะที่ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งก็เปลี่ยนตาม
       
       หิมะตก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พายุไต้ฝุ่นรุนแรง ภัยแล้งที่เพิ่มทวีคูณ หรือแม้แต่เส้นทางเดินเรือผ่านขั้วโลกเหนือที่หลับใหลใต้ทานน้ำแข็งมายาวนานก็ปรากฏให้ชาวโลกเห็น เหล่านี้เป็นผลอันเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนที่ควรจะเป็น ก่อให้สิ่งอื่นๆ ต้องเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ จำนวนประชากรที่อดอยาก ไร้แหล่งพักพิงเพิ่มมากขึ้น และโรคภัยไข้เจ็บที่แพร่กระจายไปทุกหย่อมหญ้า แถมยังจุดประกายให้เกิดแฟชั่นใหม่ระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมืองกับแฟชั่น "กระเป๋าผ้า" ลดโลกร้อน
       
       คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการให้ข้อมูลและสร้างความตระหนักให้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับสภาพการของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อันก่อให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วโลก จนได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2550 เป็นสิ่งตอบแทน ร่วมกับอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อัล กอร์ (Al Gore)
       
       ย้อนกลับไปช่วงกลางปี ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำของกลุ่มจี 8 (G8) เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และร่วมกับประเทศร่ำรวยอีกหลายประเทศในยุโรปให้คำปฏิญาณว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งในปี 2593
       
       พอเข้าสู่เดือน ก.ค. นักร้องนักแสดงชั้นนำในประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างร่วมทำกิจกรรมไลฟ์เอิร์ธคอนเสิร์ต (Live Earth concert) เพื่อโลกสีเขียวของเรา ถัดมาเดือน ก.ย. บัน คี-มุน (Ban Ki-moon) เลขาธิการสหประชาชาติ ก็ประกาศว่าตอนนี้หมดเวลาสงสัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนแล้ว สิ่งที่ต้องเร่งมือทำคือการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงเดิมไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานสืบไป
       
       และที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ กับการประชุมสหประชาชาติภายใต้กรอบอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก เพื่อเตรียมการบรรเทาภาวะโลกร้อนภายหลังพีธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) หมดอายุลงในปี 2555
       
       ประชาชนต่างเข้าใจดีว่าปัญหาภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดผลอย่างไรบ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างเป็นห่วงกันว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงและมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไม่ช้า
       
       การเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศผิดเพี้ยน นอกจากจะเป็นการจุดประกายให้หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาหันหน้าหาแหล่งพลังงานสะอาดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีข้อตกลงให้ประเทศร่ำรวยที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดขึ้นด้วย
       
       หลังจากนี้อีก 2 ปี ขณะที่เวลาของการเจรจาเรื่องภูมิอากาศโลกถึงคราวหยุดชะงักเพื่อที่จะเดินหน้าต่อ เจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆ จะต้องออกมาเจรจาต่อรองผลประโยชน์และหลักปฏิบัติในการลดภาวะโลกร้อนกันอย่างจริงจังอีกครั้ง และอาจมองไม่เห็นทางสว่างในการแก้ปัญหาได้เลยหากบุชคัดค้านข้อตกลงลักษณะเดียวกับพิธีสารเกียวโตของนานาประเทศ
       
       ประชากรโลกต่างสงสัยและตั้งคำถามขึ้นมาว่า หากเกิดเหตุลอบวางเพลิงในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่นจะใช้เวลาถึง 2 ปี เพื่อหาวิธีควบคุมเพลิงเชียวหรือ
       
       "เราคงต้องพยายามดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอยู่แล้ว ทว่าช่องว่างระหว่างความจำเป็นของสิ่งที่ต้องกระทำกับผลประโยชน์ทางการเมืองกำลังขยายวงกว้างขึ้นทุกขณะ" บิล แฮร์ (Bill Hare) นักวิชาการของสถาบันวิจัยภูมิอากาศพอตสดัม (Potsdam Institute for Climate Research) เยอรมนี เป็นผู้ให้คำตอบ
       
       เขายังแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า หากสหประชาชาติเคลื่อนไหวช้าราวกับเต่าคลานเพียงเพราะต้องรอให้นานาประเทศเห็นเป็นเสียงเดียวกัน อาจไม่สามารถแก้ปัญหาเร่งด่วนอย่างภาวะโลกร้อนที่คุกคามไปทั่วโลกขณะนี้ได้เลย และอาจไม่มีอนาคตสำหรับพวกเราทุกคนอีกต่อไปก็ได้

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

www.waddeeja.com

www.youtube.com   พิมพ์     apdi. หรือ  สมาคมคนพิการ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-12-31 21:40:31 IP : 124.121.137.66


ความคิดเห็นที่ 2 (1349382)

เมฆที่ก่อตัวให้น้ำฝนปกคลุมเหนือพื้นที่ป่าในมาเลเซีย

คงพื้นที่ป่าอีกแผนกู้โลกร้อนจากบาห

ลี   เอพี - นอกจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีสะอาดที่ประเทศพัฒนาพัฒนาแล้วต้องช่วยเหลือประเทศยากจน ผลการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่บาหลียังระบุให้รักษาพื้นที่ป่าไว้ด้วย
       
       การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย เป็นเวลา 2 สัปดาห์ได้สิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาและมีข้อสรุปเป็นข้อตกลง "บาหลีโรดแมพ" (Bali roadmap) ซึ่งมีประเด็นการรักษาพื้นที่ป่าเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญนอกเหนือไปจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวเพื่อรับกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการถ่ายทอดเทคโนโลยีสะอาดให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา
       
       ทั้งนี้ 20% ของก๊าซเรือนกระจกที่ปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า และรัฐบาลทั่วโลกได้สิ้นหวังที่จะหาทางแก้ปัญหาที่โหมกระหน่ำมากขึ้นจากความต้องการไม้ น้ำมันปาล์ม การคอร์รัปชันที่กว้างขวางและความยากจนเป็นหย่อมๆ ขณะเดียวกันก็มีรูปแบบความช่วยเหลือเป็นจำนวนเงินที่มากพอให้กับประเทศกำลังพัฒนาในแถบเส้นศูนย์สูตรเพื่อรักษาต้นไม้ของประเทศไว้ดูดซับคาร์บอนแทนที่จะตัดลงมาเพื่อผลกำไรผ่านกองทุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่า (Reducing Emissions From Deforestation and Degradation: Redd) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าการด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ยูเอ็นเอฟซีซี)
       
       การรักษาป่าฝนเขตร้อนโดยเฉพาะในอเมซอน อินโดนีเซียและลุ่มแม่น้ำคองโกในแอฟริกาล้มเหลวมาตลอด 3 ทศวรรษ ตามรายงานของธนาคารโลกทุกปีพื้นที่ป่าเป็น 2 เท่าของประเทศปานามาจะหายไปกับอาชีพตัดไม้ การเกษตร และกิจกรรมอื่นๆ โดย 80% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบราซิลและอินโดนีเซียมาจากการทำลายป่าจากการทำผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง รวมถึงความต้องการเชื้อเพลิงชีวมวลและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ถั่วเหลือง เป็นต้น
       
       "นี่เป็นข้อตกลงที่สำคัญเพราะเรายังจำเป็นต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่" เปาโล อะดาริโอ (Paulo Adario) ตัวแทนกลุ่มกรีนพีซจากบราซิลกล่าว
       
       ข้อตกลงในการรักษาป่านี้เรียกร้องเพิ่มความช่วยเหลือแก่ประเทศในเขตร้อนที่จะลดการตัดไม้และทำลายป่าซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำฟาร์มเกษตรและการลักลอบตัดไม้ขนาดเล็กซึ่งได้ทำลายพุ่มไม้ในป่า ในข้อตกลงยังรวมถึงการอนุรักษ์ ความต้องการของอินเดียและคอสตาริกาซึ่งต้องการความช่วยเหลือด้านการเงินสำหรับงานที่ได้ทำเพราะการปกป้องป่าของประเทศทั้งสองแล้ว ส่วนโครงการอื่นๆ จะช่วยพัฒนากลไกในการประเมินวิธีดีที่สุดในการตรวจสอบข้ออ้างของประเทศที่ระบุว่าได้ลดการทำลายป่า รวมถึงประเมินวิธีในการให้ความช่วยเหลือ
       
       บราซิลเป็นตัวอย่างที่ต้องการให้รัฐบาลตะวันตกให้ความช่วยเหลือเป็นรูปกองทุนสำหรับประเทศที่ลดการทำลายป่า ขณะที่ปาปัวนิวกินีและชาติกำลังพัฒนาอื่นๆ ต้องการระบบที่ประเทศจะได้รับความน่าเชื่อถือในการรักษาป่าซึ่งในที่สุดสามารถทำเป็นการค้าเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินได้

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

www.waddeeja.com

www.youtube.com   พิมพ์     apdi. หรือ  สมาคมคนพิการ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2007-12-31 21:56:32 IP : 124.121.137.66


ความคิดเห็นที่ 3 (1350419)

.....โล

ในฐานะประธานหมุนเวียนของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ชาติหรือจี-8 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศจะหยิบยกประเด็นการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนเป็นวาระหลักในการประชุมสุดยอดจี-8 ที่จังหวัดฮอคไกโด ทางเหนือของญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคมปีนี้ โดยเฉพาะแนวทางลดการปล่อยเรือน

 

กระจกหลังพิธีสารเกียวโตหมดอายุลงในปี 2555

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังจะหยิบยกประเด็นการพัฒนาทวีปแอฟริกา ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการป้องกันการแพร่ขยายของนิวเคลียร์ขึ้นหารือในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ด้วย

รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของญี่ปุ่น มาซาฮารุ โคโนะ กล่าวว่า ท่าทีของกลุ่มจี-8มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน เพราะหากปราศจากความเข้าใจร่วมกันในหมู่ผู้นำกลุ่มจี-8แล้ว ก็มองไม่เห็นทางที่กระบวนการต่อสู้ของนานาชาติจะให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจได้

กลุ่มจี-8 ประกอบด้วย แคนาดา / ฝรั่งเศส / เยอรมนี / อิตาลี / ญี่ปุ่น / รัสเซีย / อังกฤษ และสหรัฐ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึงร้อยละ 65 ของเศรษฐกิจโลก

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

www.waddeeja.com

www.youtube.com   พิมพ์     apdi. หรือ  สมาคมคนพิการ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-01-01 20:35:22 IP : 124.121.139.182


ความคิดเห็นที่ 4 (1406369)

10 สัญญาณโลกร้อน

   
ดร.จิระพล ฉายภาพของผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ออกมาให้ฟัง 10 ภาคใหญ่ ๆ ดังนี้ ไม่ว่าปีนี้หรือปีไหนชาวโลกจะต้องประสบ เพราะปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออก   ไซด์ในหลาย ๆ ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง
 
ประการแรก “คลื่นความร้อน” แต่ละปี คลื่นความร้อนคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก ปีที่ผ่านมาชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตด้วยคลื่นความร้อน 14 คน อินเดีย 100 กว่าคน ปากีสถาน 50 คน ฮังการีตายไปสูงสุด 500 กว่าคน
 
สาเหตุของการตายเพราะร่างกายเสียน้ำเสียเหงื่อมากจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ผ่านมาบ้านเรายังไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิด เพราะลักษณะการเกิดคลื่นความร้อน จะเกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ ในแต่ละพื้นที่
 
ดร.จิระพลได้ฝากวิธีปฏิ บัติตัวเพื่อให้รอดชีวิตจากคลื่นความร้อนว่า อันดับแรกให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ ลดอาหารมัน ๆ หันมารับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
 
สวมใส่เสื้อผ้าสบายตัว ไม่รัด ไม่หนา ถ้าอุณหภูมิสูงไม่ควรออกนอกบ้าน หรือถ้าจำเป็นต้องออกจากบ้าน ควรมีผ้าขนหนูชุบน้ำปิดศีรษะเพื่อมิให้สูญเสียน้ำ
 
ประการที่ 2 ของผลกระทบโลกร้อน ที่จะปรากฏคือ น้ำทะเลจะสูงขึ้น สืบเนื่องจากอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลขยายตัว ความแรงของคลื่นก็สูงขึ้นด้วย
 
ส่งผลต่อการกัดเซาะชายฝั่งกินอาณาเขตกว้างไกลออกไป บ้านเรือน ต้นไม้ชายหาด หรือแม้แต่ฟาร์มสัตว์น้ำริมทะเลจะได้รับความเสียหายจากการกัดเซาะนี้ สูงขึ้น
 
ประการที่ 3 “น้ำแข็งบนยอดเขาสูงละลาย” เหตุการณ์นี้จะเกิดการขาดแคลนน้ำจืดในฤดูร้อนของหลายประเทศด้วยกัน อย่าง บังกลาเทศ พม่า ทิเบต ภูฏาน ซึ่งต้องอาศัยน้ำแข็งที่อยู่บนยอดเขาหิมาลัย ละลายลงมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ใช้ในการเกษตรใช้ในการอุปโภค บริโภค
 
ดังนั้นเมื่อน้ำแข็งละลายลงอย่างรวดเร็วจะเกิดน้ำท่วม และผลกระทบยังลามไปถึงผลเสียหายต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
 
ประการที่ 4  เชื่อมโยงกับเรื่องการละลายของน้ำแข็ง ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ละลายเร็วขึ้น ส่งผลต่อฤดูกาลเปลี่ยน เพราะน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือคือตัวกำหนดฤดูกาล จะเป็นสิ่งกำหนดว่าฤดูฝน หรือฤดูหนาวสั้นยาวเท่าไร ตรงนี้มีผลด้วย
 
นอกจากนี้น้ำแข็งที่ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้กระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียนผ่านประเทศต่าง ๆ ชะลอลงด้วย ยามเมื่อถึงฤดูหนาว อากาศจะหนาวเย็นเพิ่มขึ้น

ประการที่ 5 เกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายหลายชนิด เป็นเรื่องที่น่าห่วงมากเมื่ออากาศร้อนมากขึ้น อาหารจะบูดเสียเร็วขึ้น อาหารกระป๋องที่ระบุวันหมด อายุไว้ อาจจะหมดอายุก่อนกำหนด
 
นอกจากนี้อาจพบเชื้อโรคหวัดสายพันธุ์ใหม่ เพราะเกิดการขยายพื้นที่ของเชื้อโรคไข้สมองอักเสบ โดยมี ค้างคาวแม่ไก่ เป็นพาหะ
 
สัตว์ชนิดนี้มีถิ่นที่อยู่อาศัยใน เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ผลจากไฟป่า อากาศร้อนขึ้น ค้างคาวแม่ไก่จะอพยพย้ายถิ่นมาอยู่ประเทศไทยพร้อมนำพาเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบติดตัวมาด้วย
 
ค้างคาวแม่ไก่ชอบกินผลไม้สุก ทั้งคนและสัตว์ ไปเก็บผลไม้ที่มีรอยกัดกินหรือร่วงหล่นบนพื้นไปบริโภค อาจได้รับเชื้อไปด้วย รวมทั้งสัตว์ต่าง ๆ เช่น หนู นก งู สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด ต่างมีสิทธิได้รับเชื้อโรคเป็นห่วงโซ่
 
คนไม่มีโอกาสรู้ ไปจับมาบริโภคเป็นอาหาร เชื้อโรคที่ฝังตัวอาจแพร่มาสู่คน
 
ดังนั้น อาหารที่ไม่ผ่าน กระบวนปศุสัตว์ผลิตจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน จะเป็นอาหารที่เสี่ยงอันตราย เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเลิกบริโภคต่อไปในอนาคต
 
ประการที่ 6 ฤดูใบไม้ผลิจะมาเร็วกว่ากำหนด นั่นหมายความว่าจำนวนวันที่หนาวลดลง แต่จำนวนวันร้อนกลับเยอะขึ้น ทำให้เกิดการแปรปรวนทางอากาศ ซึ่งสัตว์บางชนิด เช่น ยุง ต้องรอให้อุณหภูมิ 11-12 องศาเซลเซียส จึงตาย
 
หากอากาศร้อนคงอยู่ ยุงสามารถรอดตาย เชื้อโรคไวรัส แบคทีเรียอาศัยในยุงจะเจริญเติบโตแข็งแรง เมื่อไปกัดคนก็เพิ่มเชื้อแพร่ระบาด อีกทั้งอากาศร้อนยังทำให้แมลงศัตรูพืชแข็งแรง เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าแมลงเพิ่มขึ้นเป็นวงจรไปอย่างนี้
 
ประการที่ 7 สัตว์ป่าจะเกิดการอพยพหนีการรุกราน ยกตัวอย่างเช่นดอยสุเทพ เวลานี้สัตว์ป่าเริ่มถูกคุกคามจากยุงเพราะอากาศร้อนยุงเริ่ม คืบคลานไปอยู่ยังยอดเขาสูงได้
 
สัตว์เจ้าถิ่นเช่น นก กวาง เก้ง เริ่มอพยพไปยังถิ่นใหม่ ที่มีสัตว์เจ้าถิ่นอยู่แล้วจึงเกิดการต่อสู้กันเพื่อแย่งถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้สัตว์ล้มตาย เกิดผลเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
 
ประการที่ 8 เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว อุณหภูมิสูงขึ้นทำให้เซลล์ปะการังตาย น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้นแหล่งปะการังอันเป็นเนอร์สเซอรี่ ของสัตว์น้ำวัยอ่อนก็ได้รับผลนี้ด้วย
 
นอกจากนี้อาจเกิดการแพร่กระจายของ “สาหร่ายบูม” สาหร่ายสีน้ำตาลแดง ลอยมาติดหน้าชายหาด ส่งกลิ่นเหม็น สาหร่ายชนิดนี้มีเชื้ออหิวาตกโรค ปลาหรือสัตว์น้ำจะมีการปนเปื้อนของเชื้ออหิวาตกโรค   มากขึ้น
 
ประการที่ 9 เกิดฝนตกหนักเฉพาะที่ สาเหตุที่ฝนตกหนักเฉพาะที่ เพราะไม่มีลมที่ทำให้เม็ดฝนกระจายตัว ความชื้นในอากาศเยอะ ลอยตัวต่ำ จึงไม่สามารถไปตกที่อื่น ๆ ได้ เมื่อตกเฉพาะที่เกิดน้ำท่วม ดินถล่มตามมา
 
ผลกระทบประการที่ 10 เกิดภัยแล้ง ไฟป่า สัตว์ต้องอพยพจากถิ่น ทำให้เกิดความขาดแคลนน้ำที่อยู่ในใต้ดินถึง 15 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ผู้คนอาจเกิดโรคภัยตามมาจากปัญหาหมอกควันของไฟป่า
 
ทุกวันนี้ คนไทยรู้เรื่องภาวะโลกร้อนมากขึ้น แต่ไม่ทำอะไรเลย ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม หันมาเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนน้อยมาก 

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

www.waddeeja.com

www.youtube.com   พิมพ์     apdi. หรือ  สมาคมคนพิการ

ม.ค.0084

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-01-17 09:10:32 IP : 124.121.138.104


ความคิดเห็นที่ 5 (1440089)

แพทยสภาห่วง! โลกร้อนทำคนไทยเป็นโรคประสาทมากขึ้น

นายกแพทยสภาชี้โลกร้อนจะทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้น พร้อมโรคที่มาจากสัตว์อย่างไข้สมองอักเสบจากค้างคาว โรคท้องร่วงและอหิวาห์ที่มากับน้ำท่วม ด้านนักวิชาการ ม.มหิดล ปลงปัญหาโลกร้อนสายเกินแก้แล้ว ดีที่สุดทำได้เพียงเตรียมร่างกายให้พร้อม ส่วน กทม.เผยพอใจผลการรณรงค์ลดโลกร้อนตลอดปีที่ผ่านมา สร้างกระแสถุงผ้าแทนถุงพลาสติก

สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท) จัดการประชุมวิชาการประจำปี พ.ศ.2550 เรื่อง "ภาวะโลกร้อน" ขึ้นเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 51 ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพฯ

ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวในหัวข้อโรคภัยที่จะติดตามมากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า เมื่ออุณหภูมิโดยรวมของภูมิอากาศสูงขึ้นจะทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อการเกิดโรคประสาทได้มากขึ้นด้วยหากอุณหภูมิภายนอกสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายที่ 37.5 องศาเซลเซียส โดยกลุ่มคนจนจะได้รับผลกระทบมากกว่าคนรวย เพราะผู้มีฐานะดีย่อมหลีกเลี่ยงไปอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นด้วยการติดตั้งเครื่องปรับอากาศได้ อย่างไรก็ตามวิธีง่ายๆ ที่ช่วยบรรเทาได้คือ การดื่มน้ำในปริมาณที่มากพอเพื่อช่วยระบายความร้อนจากร่างกาย

เมื่ออุณหภูมิโดยรวมที่สูงขึ้นยังชักนำให้เกิดการระบาดของโรคมาลาเรียในวงกว้างด้วย แต่เมื่ออากาศร้อนขึ้น โรคก็แพร่กระจายได้กว้างขวางขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยเองจะมีปัญหาตามเขตป่าเขาที่มีแหล่งน้ำที่ใสสะอาดเท่านั้น แต่ในเขตเมืองจะไม่มีการระบาดแน่นอนเพราะยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะของโรคมาลาเรียจะไม่สามารถอยู่ในแหล่งน้ำที่มีความสกปรกมากในเขตตัวเมืองได้

ขณะที่โรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัสนิปาห์ที่มีค้างคาวเป็นพาหะซึ่งพบการระบาดมาก่อนหน้านี้ในประเทศมาเลเซียก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะพบการระบาดในเขตเมืองของประเทศไทย หากผลไม้ในเขตป่าเขาที่เป็นแหล่งอาศัยของค้างคาวมีจำนวนลดลง ทำให้ค้างคาวต้องเข้ามาหากินใกล้ตัวเมืองมากขึ้น โดยจากงานวิจัย ค้างคาวในประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสนิปาห์ จึงเชื่อได้ว่าสามารถติดเชื้อดังกล่าวได้ และอาจแพร่กระจายโรคไปยังคนที่อาศัยในเขตเทือกเขาจนทำให้เสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันใดๆ ยืนยันออกมา

ศ.นพ.สมศักดิ์ บอกด้วยว่า ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งที่ติดตามมากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและการเกิดน้ำท่วม ทำให้ผู้คนมีอาการของโรคทางเดินอาหารอย่างท้องเสีย ท้องร่วง การระบาดของอหิวาตกโรค และยังจะทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ซึ่งเป็นพาหะของโรคอื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก เป็นต้น

ในการประชุมยังมีการแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับการรับมือกับปัญหาภาวะโลกร้อนด้วย โดย ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา นักวิชาการจากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า การป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเวลานี้ถือว่าสายจนสุดมือเอื้อมไปกว่า 15 ปีแล้ว ซึ่ง 30 ปีก่อนได้มีการรณรงค์ให้ตระหนักและร่วมกันป้องกันปัญหามาครั้งหนึ่ง เช่น การงดใส่สูท การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างประหยัด หรือแม้แต่การขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากสังคม

อย่างไรก็ดี เมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศโลกประมาณร้อยละ 1 ของทั้งโลกก็ไม่สามารถแก้ไขใดๆ ได้แล้ว เพราะอีกร้อยละ 99 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่พ้นขอบเขตที่ไทยจะเข้าไปจัดการได้

 

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

www.waddeeja.com

www.youtube.com   พิมพ์     apdi. หรือ  สมาคมคนพิการ

2701511444

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-01-27 14:36:18 IP : 124.121.139.41


ความคิดเห็นที่ 6 (2862568)

ทบทวน..ความจำ.....โลกร้อน...

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

www.waddeeja.com

www.youtube.com   พิมพ์     apdi. หรือ  สมาคมคนพิการ

1906511836

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2008-06-19 18:37:20 IP : 124.121.135.179


ความคิดเห็นที่ 7 (2878500)

 

โลกยิ่งร้อน-*** ยิ่งนุ่งสั้น อันตรายถึงชีวิตด้วยฤทธิ์ยูวี

 

"ดร.สมิทธ" เตือน*** นุ่งสั้น คลายความร้อนในภาวะโลกร้อน อาจถึงชีวิตได้ เพราะแสงยูวีทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง อีกทั้งชี้สิงหา-กันยาฯ นี้ต้องเตรียมตัวรับมือพายุหมุนเขตร้อน พาน้ำเข้าท่วมกรุงเทพฯ แนะเร่งฟื้นฟูป่าชายเลน ด้าน "คุณหญิงชดช้อย" ย้ำลดโลกร้อนต้องเริ่มเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวเอง อย่าหลงการรณรงค์แต่ไม่ทำจริง
       
       
ห้างสรรพสินค้าเซน (ZEN) สำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพฯ และบริษัทไรมอนด์แลนด์ จัดเสวนารณรงค์สิ่งแวดล้อม "มุมมองในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน" ขึ้นเมื่อวันที่ 16 ก.ค.51 ณ ห้างสรรพสินค้าเซน กรุงเทพฯ โดยมี ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ คุณหญิงชดช้อย โสพณพนิช นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทย และนางพรรณี รัตนลาโภ รอง ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพฯ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง
       
       
ทั้งนี้ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์วงเสวนาดังกล่าว โดย ดร.สมิทธ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองอย่างอารมณ์ดีว่า สุภาพสตรีมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากที่สุด เพราะก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ รวมถึงสารซีเอฟซี ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมทำความเย็น โฟม และสเปรย์ ซึ่งสุภาพสตรีใช้สเปรย์แต่งผมเป็นประจำทุกวัน
       
       "
ดังนั้นหากสตรีหลายพันล้านคนลด การรักสวยรักงามลง ก็จะช่วยลดโลกร้อนได้" ดร.สมิทธกล่าว
       
       
เขาเผยต่อว่า จากการเปรียบเทียบอุณหภูมิโลกในช่วงปี 2538-2547 กับปี 2483-2523 พบว่าอุณหภูมิทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นจริง โดยเฉพาะชั้นโอโซนที่ถูกทำลายด้วยสารซีเอฟซี ยังจะทำให้*** นุ่งสั้นมีโอกาสป่วยเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมากขึ้น เพราะบรรยากาศของโลกไม่มีชั้นกรองรังสีอัลตราไวโอเลต หรือยูวี ที่ตกกระทบผิวหนัง ขณะนี้ประเทศออสเตรเลียมีประวัติการณ์รับผลกระทบดังกล่าวมากที่สุด
       
       "
การนุ่งสั้นในภาวะโลกร้อนจึงอาจถึงตายได้" เขากล่าว
       
       
ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เสริมด้วยว่า ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมและกันยายนที่จะถึงนี้ ประเทศไทยแถบกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และปทุมธานี มีโอกาสเกิดน้ำท่วมจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
       
       
ทั้งนี้ พายุหมุนเขตร้อนจะพาน้ำฝนเกือบ 1 ล้าน ลบ.ม.เข้าท่วมปากแม่น้ำเจ้าพระยาในทันที โดยยังไม่รวมน้ำเหนือไหลบ่าและน้ำทะเลหนุน ด้านกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจึงต้องเตรียมการป้องกัน เพราะน้ำจะท่วมขังเป็นเวลานาน รถยนต์ไม่สามารถสัญจรไปมาได้
       
       
ดร.สมิทธ เสนอด้วยว่า เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวจะต้องมีการปลูกป่าชายเลนทดแทนที่ถูกทำลายโดยเร่งด่วน จากปัจจุบันที่พื้นที่ป่าชายเลนยังคงถูกทำลายปีละนับร้อยๆ ไร่ เห็นได้ชัดในพื้นที่อำเภอพระประแดง จ.สมุทรปราการ ที่น้ำทะเลได้กัดเซาะชายฝั่งและเข้าท่วมวัดบางแห่งไปแล้ว
       
       
ด้านคุณหญิงชดช้อย เสนอว่า การลดปัญหาภาวะโลกร้อนจึงต้องเริ่มที่ตัวเราทุกๆ คนก่อน จากสิ่งง่ายๆ รอบตัว เช่น การใช้ถุงผ้า การปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดรับลมธรรมชาติ และการคัดแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น จากปัจจุบันที่รัฐบาลและห้างร้านต่างๆ แข่งขันกันรณรงค์ลดโลกร้อนมาก ทว่าไม่มีการลงมือจริงจังนัก
       
       "
จากประสบการณ์ที่ได้ทำโครงการตาวิเศษเมื่อกว่าสิบปีก่อนเชื่อแน่ว่าประชาชนพร้อมจะให้ความร่วมมือแก้ปัญหาแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าจะทำอะไร และทำอย่างไร โดยต้องมีการทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง ซึ่งเราต้องยอมลำบากบ้าง" นายกสมาคมสร้างสรรค์ไทยกล่าว
       
       
ขณะที่รอง ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพฯ ให้ข้อมูลบ้างว่า ชาว กทม.กว่าสิบล้านคนเป็นผู้ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากถึง 40% ของประเทศ กรุงเทพมหานครจึงพยายามดึงทุกภาคส่วนร่วมแก้ปัญหาดังกล่าว และยอมรับว่าลำพัง กทม.ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก โดยปีที่ผ่านมาได้คลอดแผนปฏิบัติการลดโลกร้อน พ.ศ.2550 - 2554 ขึ้น เช่น การรณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การปลูกต้นไม้ และการเปลี่ยนหลอดไส้มาใช้หลอดตะเกียบ
       
       "
ตอนนี้เราก็ทำจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว อาจต้องนำวิธีเดิมๆ กลับมาใช้ใหม่อีกรอบก็ได้" รอง ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพฯ ปิดท้าย.

* * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

Tel. 02-990-0331

1807511111

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2008-07-18 11:00:53 IP : 124.121.135.228


ความคิดเห็นที่ 8 (2880869)

อียูสั่งสายการบินลดแพร่ก๊าซคาร์บอนฯ

รัฐสภาสหภาพยุโรป ลงมติกันอย่างเป็นเอกฉันท์ให้บรรดาสายการบินต่างๆ ลดภาวะเรือนกระจกให้ได้ภายใน พ.ศ.2555 ซึ่งร่างกฎ หมายนี้สร้างความไม่พอใจให้กับสายการบินต่างๆ ที่กำลังปวดหัวจากปัญหาค่าน้ำมันรุมเร้า

ภายใต้ร่างกฎหมาย สายการบินของ 27 ชาติสหภาพยุโรป รวมทั้งสายการบินต่างชาติที่เข้ามาบินในสหภาพยุโรป ต้องลดการแพร่ก๊าซเรือนกระจก ด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต

นายคริส เดวีส์ สมาชิกพรรคลิเบอรัลเดโมแครต ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า "ถ้าเราไม่กดดันให้สายการบินต่างๆ ลดการแพร่ก๊าซเรือนกระจกแล้ว ลูกหลานของเราก็จะมีอนาคตที่ย่ำแย่ และก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในสหภาพยุโรปนั้น เกิดจากอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศ"

ด้านนายจิโอวานนี่ บีซิญญานี ผู้อำนวยการสมาคมการคมนาคมทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ IATA ซึ่งตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีความเห็นว่า "มติของสหภาพยุโรปนับว่าออกมาในช่วงที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เพราะขณะนี้ทุกสายการบินกำลังสู้กับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างมากในตลาดโลก และถ้ากฎหมายนี้บังคับใช้ ก็จะสร้างค่าใช้จ่ายให้กับสายการบินถึง 3,500 ล้านยูโร (1.75 แสนล้านบาท) ภายในปีแรกที่กฎหมายบังคับใช้"

--------------------------------

 

* * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

Tel. 02-990-0331

2307511038

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2008-07-23 10:37:42 IP : 124.121.138.167


ความคิดเห็นที่ 9 (2957183)

สวัสดีปีฉลู 2552 ทุก ๆ ท่าน ที่เข้าเยี่ยมชมข้อมูลภาวะโลกร้อน...ครับ.

* * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

Tel. 02-990-0331

0601522340

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-01-06 23:40:53 IP : 124.121.143.99


ความคิดเห็นที่ 10 (2977906)

ถึงเวลาปฏิรูปโครงสร้างผลิตอาหารหลังล้มเหลวกว่า 60 ปี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   6  มกราคม  2552

 

นักวิชาการสภาอาหารอังกฤษ ระบุถึงเวลาปฏิรูปโครงสร้างอาหาร หลังล้มเหลวมากว่า 60 ปี บนแนวคิดยุคหลังสงคราม ตั้งเป้าผลิตอาหารต้นทุนถูก  แต่อาหารที่ผลิตได้ไม่สัมพันธ์กับการบริโภค ทั้งยังนำเข้าสูภาวะยุ่งเหยิง ต้องปรับสู่การผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ทั้งความหลากหลายทางชีวภาพ พลังงาน ปริมาณน้ำ และความเป็นเมืองใหญ่
       
       
ตามรายงานของบีบีซีนิวส์ ศ.ทิม แลง (Prof.Tim Lang) สมาชิกสภาอาหาร (Food Council) หน่วยงานตั้งใหม่ของสหราชอาณาจักร ได้ออกมาเผยว่าโครงการสร้างการผลิตในปัจจุบันนั้น ตั้งอยู่บนแนวคิดช่วงปี ค.ศ. 1940 หลังยุติภาวะสงครามใหม่ๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์การอาหารและผู้กำหนดนโยบายเชื่อว่า การเพิ่มการผลิตจะช่วยลดต้นทุนของอาหารและยกระดับการกินและสุขภาพของผู้คนได้
       
       "
หากแต่ในช่วง ค.ศ.1970 เริ่มปรากฏหลักฐานว่า สุขภาพสาธารณะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ และผลที่ตามมาอีกคือเราต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ๆ ที่เกี่ยวพันกับสิ่งแวดล้อม" ศ.แลงกล่าว และระบุด้วยว่าโครงสร้างการผลิตอาหารที่เรายึดถือมานั้นเป็น "โครงสร้างที่ล้มเหลว" ซึ่งตามาด้วยต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่แพงมหาศาล ตัวอย่างเช่นพายุฝุ่นถล่มสหรัฐฯ การพังครืนของอุตสาหกรรมผลิตอาหารในยุโรป และภาวะอดอยากในเอเชีย เป็นต้น และยังมีหลักฐานที่ชัดเจนถึงความไม่สัมพันธ์ระหว่างการผลิตอาหารและความต้องการบริโภค
       
       "
ผ่านมา 30 ปี ตอนนี้โลกเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนขึ้น อัตราการเติบโตของการผลิตอาหารต่อประชากรกำลังลดลง หรืออาจจะหยุดเลยด้วย และเราก็ยังมีปัญหาใหญ่เรื่องจำนวนประชากรมนุษย์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว" ศ.แลงกล่าว
       
       
พร้อมกันนี้เขาได้เสอนแนวคิดเกี่ยวกับ "โครงสร้างใหม่" ซึ่งเขาเสนอขึ้นเมื่อได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการการเพาะปลูกอินทรีย์ (Garden Organic) ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะกำหนดการผลิตอาหารในอนาคต โดยสิ่งที่ต้องคำนึง ได้แก่
       
       -
น้ำมันและพลังงาน (Oil and energy) : เราอยู่มีเศรษฐกิจอาหารที่ตั้งอยู่บนฐานการผลิตซึ่งอาศัยน้ำมันทั้งหมด และตอนนี้น้ำมันก็กำลังจะหมดไป ซึ่งผลกระทบจากการเกษตรดังกล่าวคือ ความไม่แน่นอนในตลาดซื้อ-ขายอาหาร
       
       -
การขาดแคลนน้ำ (Water scarcity) : เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เขาพยายามผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษเริ่มวัดประสิทธิภาพการใช้น้ำผลิตอาหาร และเขาได้เสริมด้วยว่ากว่า 50% ของพืชผักที่สหราชอาณาจักรเข้านั้นมาจากประเทศที่ขาดแคลนน้ำ
       
       -
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) : ไม่เพียงแค่ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น ศ.แลงเสริมว่า ยังต้องปรับเปลี่ยนและปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งต้องใช้วิธีที่หลากหลายในการปลูกพืชอาหารและการใช้พื้นที่เพาะปลูก
       -
ความเป็นเมืองใหญ่ (Urbanisation) : ศ.แลงตั้งข้อสังเกตว่าผู้คนอาหารอยู่ในเมืองใหญ่มากกว่าชนบท และตั้งคำถามว่าคนเหล่านั้นนำอาหารจากที่ไหน?
       
       
ศ.แลงกล่าวว่า เพื่อจะเลี้ยงประชากรกว่า 9 พันล้านคนในปี ค.ศ. 2050 ผู้กำหนดนโยบายและนักวิทยาศาสตร์ต้องเผชิญกับความท้าทายว่า ระบบโครงสร้างอาหารจะไปได้ยั่งยืนอย่างไรบนความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกใบนี้ แทนที่จะมุ่งโจมและปล้นระดมทรัพยากรจากโลก.

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2802521344               

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-02-28 13:44:45 IP : 124.121.135.209


ความคิดเห็นที่ 11 (2982917)

กทม.เอาด้วย  680  เมือง ปิดไฟ 1 ชม.พร้อมกัน ดีเดย์เสาร์  28 มีนา 52

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรุงเทพมหานครกำหนดจัดกิจกรรม ปิดไฟ 1 ช.ม. ... ให้โลกพักเพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน รณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน แก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยการปิดไฟ 1 ชั่วโมง ในเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2552 ร่วมกับ 680 เมืองทั่วโลก เวลา 20.00-21.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของเมืองต่างๆ ในส่วนของ กทม.จัดที่ถนนข้าวสาร

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้เตรียมแผนการดำเนินงานและการประชาสัมพันธ์ โดยกำหนดจัดการแถลงข่าวกิจกรรม ปิดไฟ 1 ช.ม. ... ให้โลกพักในวันที่ 16 มีนาคม 2552 ที่สวนสราญรมย์ และจะรณรงค์ประชาสัมพันธ์บนถนนสายหลัก 5 สาย คือ สีลม รัชดาภิเษก ข้าวสาร เยาวราช และเพชรบุรีตัดใหม่ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทุกรูปแบบ

รวมถึงขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ เช่น ภาครัฐ เอกชน เช่น การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้างสรรพสินค้า และอื่นๆ เพื่อช่วยกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปิดไฟลดโลกร้อนในวันดังกล่าว และขยายผลปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวันผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรุงเทพมหานครกำหนดจัดกิจกรรม ปิดไฟ 1 ช.ม. ... ให้โลกพักเพื่อลดปริมาณการใช้พลังงาน รณรงค์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน แก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยการปิดไฟ 1 ชั่วโมง ในเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2552 ร่วมกับ 680 เมืองทั่วโลก เวลา 20.00-21.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นของเมืองต่างๆ ในส่วนของ กทม.จัดที่ถนนข้าวสาร

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้เตรียมแผนการดำเนินงานและการประชาสัมพันธ์ โดยกำหนดจัดการแถลงข่าวกิจกรรม ปิดไฟ 1 ช.ม. ... ให้โลกพักในวันที่ 16 มีนาคม 2552 ที่สวนสราญรมย์ และจะรณรงค์ประชาสัมพันธ์บนถนนสายหลัก 5 สาย คือ สีลม รัชดาภิเษก ข้าวสาร เยาวราช และเพชรบุรีตัดใหม่ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทุกรูปแบบ

รวมถึงขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ เช่น ภาครัฐ เอกชน เช่น การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้างสรรพสินค้า และอื่นๆ เพื่อช่วยกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปิดไฟลดโลกร้อนในวันดังกล่าว และขยายผลปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในชีวิตประจำวัน

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1303521958

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-13 19:57:48 IP : 124.121.77.19


ความคิดเห็นที่ 12 (2983946)

กทม. ระดมสมองชี้ในปี 2593 น้ำทะเลหนุนสูงแผ่นดินทรุดต่ำใน 4 จังหวัดปริมณฑล

เสียหาย 1.4 แสนล้าน                                              

 

นายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมระดมความเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเมืองหลักชายฝั่งทะเล กรณีศึกษาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้พบข้อมูลที่น่าเป็นห่วง เมื่อมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2593 หรืออีก 41 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลในพื้นที่ทั้ง 4 จังหวัด ได่แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม จะสูงขึ้น 12.3 ซม. และยังมีปัญหาแผ่นดินทรุดตัวลงอีก 20 ซม. หมายความว่าระดับน้ำทะเล จะสูงเพิ่มขึ้นถึง 32.3 ซม.

รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า จากการวิเคราะห์แบบจำลองได้คาดการณ์ผลกระทบ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศอย่างรุนแรงในอีก 41 ปีข้างหน้า ได้แก่

1.ประชาชนในกรุงเทพฯ และ สมุทรปราการ ประมาณ 1 ล้านคน จะประสบภัยน้ำท่วม หรือเพิ่มขึ้น 6.8 แสนคน จากกรณีสภาพปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณเขตดอนเมือง บางคอแหลม ยานนาวา และสาทร ที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง ขณะที่ปัจจุบันประชาชนในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ มีผู้ประสบภัยน้ำท่วมเพียง 3.2 แสนคน

2.อาคารและที่พักอาศัยประมาณ 1.1 ล้านหลัง จะได้รับผลกระทบ โดยมี น้ำท่วมสูงตั้งแต่ 10 ซม.ขึ้นไป และประมาณ 1 ใน 3 ของบ้านเรือนที่ถูก น้ำท่วมอยู่ในเขตบางขุนเทียน บางบอน บางแค และอ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ

3.ชุมชนแออัดในเขตคลองสาน บางคอแหลม สาทร และราษฎร์บูรณะ จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการ สูญเสียรายได้ในช่วงที่เกิดน้ำท่วม

4.ถนน ในกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ระยะทาง 1,700 กม. ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

5.สถานีขนถ่ายมูลฝอยหนองแขม อาจเกิดน้ำท่วมที่ความลึก 50-100 ซม.

6.โรงพยาบาลและสถานพยาบาลจำนวน 127 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในเขตบางขุนเทียน บางบอน บางแค และอ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ขณะที่โรงผลิตไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าย่อยต่างๆ ไม่ได้รับผลกระทบจาก น้ำท่วม

นายประกอบ กล่าวว่า ผลวิจัยได้ประเมินมูลค่าความเสียหายจากน้ำท่วมสูงถึง 1.4 แสนล้านบาท เทียบกับปี 2551 ที่มีความเสียหายจากน้ำท่วมมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท โดยอาคารและสิ่งปลูกสร้างได้รับผลกระทบสูงสุด

ทั้งหมดยังเป็นเพียงการคาดการณ์จากแบบจำลอง แต่ทีมวิจัยได้เสนอมาตรการป้องกัน เช่น เพิ่มความสูงสันคันกั้นน้ำในฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา การปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วม การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบได้ในระดับหนึ่งนายประกอบ กล่าว

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้เริ่มศึกษาตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. 2551-มี.ค. 2552 โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และอ้างอิงรูปแบบการเกิดน้ำท่วมใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ในปี 2538 และ 2545 โดยการสร้างภาพจำลอง เพื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝน การทรุดตัวของแผ่นดิน การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1603522223    

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-16 22:22:56 IP : 124.121.136.167


ความคิดเห็นที่ 13 (2989245)

ถุงยางวันทัช ได้ติดฉลาก ลดโลกร้อน

 

โพสต์ทูเดย์ ถุงยางวันทัชและ 12 ผลิตภัณฑ์ ร่วมติดฉลากลดโลกร้อน

นายจักรพงศ์ ชูพยัคฆ์ หัวหน้าแผนกวิจัยและพัฒนา บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์ อินดัสตรี้ ผู้ผลิตถุงยางอนามัยยี่ห้อวันทัช เปิดเผยว่า บริษัท ได้รับการอนุมัติให้ติดฉลากคาร์บอนลดโลกร้อนในสินค้าหลังเข้าร่วมโครงการลดโลกร้อนกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย

ทั้งนี้ บริษัทผลิตถุงยาง 636 ล้านชิ้นต่อปี หรือกว่าวันละ 1 ล้านชิ้น ทำให้ใช้พลังงานค่อนข้างสูง จากการเข้าร่วมโครงการนี้สามารถลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตได้ถึง 30% โดยที่ถุงยางยังเป็นผลิตภัณฑ์แบบเดิม แต่จะมีโลโก้ฉลากคาร์บอนบนกล่องสินค้า โดยจะวางจำหน่าย

วันที่ 28 มี.ค.นี้

นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์ บริบูรณ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า หลังจากที่องค์การได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน โดยการติดฉลากคาร์บอน ในช่วงปีที่ผ่านมามีผู้ประกอบการยื่นความจำนงขอติดฉลากคาร์บอนถึง 34 ราย

จากการประเมินร่วมกับทางสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ในปี 2552 มีผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกที่อนุมัติให้ติดฉลากคาร์บอน และพร้อมที่จะวางจำหน่ายแล้วจำนวน 9 ราย 12 ผลิตภัณฑ์

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2803521616               

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-03-28 16:16:24 IP : 124.121.141.55


ความคิดเห็นที่ 14 (2997061)

วันนี้ สภาพอากาศ ของพื้นที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี อากาศร้อนมาก ๆ ประมาณ 38 -40 องศา ร้อนมาก ๆ

 

นี่ก็ผลพวงมาจาก....... สภาวะโลกร้อน

 

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2004521914               

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-04-20 19:14:20 IP : 124.121.143.221


ความคิดเห็นที่ 15 (3012688)

อัล กอร์เตือนหมดเวลาคุยแก้โลกร้อน ลั่นต้องลงมือปฏิบัติ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   25 พฤษภาคม 2552

 

อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้พลิกบทบาทไปเป็นนักรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน เตือนผู้นำภาคธุรกิจและการเมืองเมื่อวันอาทิตย์ (25) ว่าโลกไม่มีเวลาเหลืออีกแล้วสำหรับการทำข้อตกลงในเรื่องการต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
       
       "
ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องลงมือปฏิบัติ ... และต้องลงมือในปีนี้ ไม่ใช่ปีหน้า เข็มนาฬิกาเริ่มเดินแล้วเพราะธรรมชาติไม่มีแผนกอบกู้วิกฤตให้เรา" กอร์กล่าวในที่ประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจโลกว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
       
       "
เรามีทุกอย่างพร้อมแล้วหากต้องการรักษาอนาคตเอาไว้ ที่ขาดไปเพียงอย่างเดียวคือเจตนารมณ์ทางการเมือง" กอร์ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมพวกผู้นำวงการธุรกิจ นักวิชาการ และนักการเมือง เขายังเสริมอีกว่า "ชุมชนธุรกิจและผู้นำโลกจะต้องร่วมมือกันเพื่อพิทักษ์โลก"
       
       
การจัดประชุมสุดยอดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มความตระหนักถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนหน้าการจัดประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปลายปีนี้ ซึ่งมีสหประชาชาติเป็นเจ้าภาพ และคาดหวังว่าสนธิสัญญาว่าด้วยภาวะโลกร้อนฉบับใหม่จะได้รับการรับรอง และใช้ทดแทนพิธีสารเกียวโตซึ่งกำลังจะหมดอายุในปี 2012

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2505522252 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-25 22:52:25 IP : 124.121.136.71


ความคิดเห็นที่ 16 (3013245)

เตือนประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกชะตาโลกขึ้นอยู่กับการแก้โลกร้อน  โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   26 พฤษภาคม 2552

 

ที่ประชุม Major Economies Forum (เอ็มอีเอฟ) ซึ่งเป็นเวทีให้รัฐมนตรีจากประเทศที่เมื่อรวมกันแล้วทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด มาประชุมร่วมกันที่กรุงปารีสเมื่อวันจันทร์ (25) กล่าวเตือนว่า "ชะตากรรมของโลก" อาจขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของสนธิสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
       
       
การประชุมเอ็มอีเอฟมีขึ้นก่อนที่สหประชาชาติจะจัดประชุมเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับสนธิสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกนในเดือนธันวาคมปีนี้
       
       "
ชะตากรรมของโลกอาจมี***อยู่ที่การประชุมที่โคเปนเฮเกน" ฌ็อง-หลุยส์ บอร์ลู รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศสกล่าวในการเปิดการประชุมเอ็มอีเอฟซึ่งมีกำหนดการสองวัน
       
เขายังกล่าวตอบโต้ผู้ที่ตั้งข้อสงสัยว่าจะสนธิสัญญาดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดลงไปอีกด้วยว่า "สนธิสัญญาโคเปนเฮเกนไม่ใช่วิสัยทัศน์แบบถอยหลังเข้าคลอง นี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการเติบโตเชิงลบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาเรื่องคาร์บอนที่เข้มแข็ง ยั่งยืน และรอบคอบ"
       
       
ทั้งนี้ การประชุมกรอบโครงสนธิสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอฟซีซีซี) ณ กรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งจะมีประเทศที่เข้าร่วม 192 ประเทศ มีเป้าหมายที่จะรักษาข้อตกลงในเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและป้องกันประเทศยากจนซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด สนธิสัญญาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังปี 2012 เมื่อข้อตกลงตามพิธีสารเกียวโตหมดอายุลงแล้ว
       
       
อย่างไรก็ตาม การเจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาดังกล่าวก็ซับซ้อนและมีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย ดังนั้นเอ็มอีเอฟจึงพยายามที่จะหาข้อตกลงพื้นฐานร่วมกันในหมู่ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อน จากนั้นจึงให้ยูเอ็นเอฟซีซีซีรับรองต่อไป อีกทั้งเอ็มอีเอฟจะเจรจาในเรื่องการสนับสนุนด้านการเงินและการโอนย้ายเทคโนโลยีสะอาด

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - -            

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2705520855 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-05-27 08:55:51 IP : 124.121.139.226


ความคิดเห็นที่ 17 (3040611)

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11480 มติชนรายวัน


อัด"อส."ด้นสูตรปรับเงินทำโลกร้อน จี้ทบทวนหวั่นทำร้ายชาวบ้านทั่วปท.


นักวิชาการรุมจวกกรมอุทยานฯคิดสูตรพิสดารเรียกค่าเสียหายชาวบ้านตัดไม้ในอุทยานฯ อ้างทำโลกร้อน ชี้ถ้าประกาศใช้กระทบทั่วประเทศ งงแทนที่จะเร่งพิสูจน์สิทธิอุทยานฯทับที่ทำกิน กลับฟ้องศาลเล่นงานคนจน หญิงพัทลุงครวญตัดยางแก่ในสวนตัวเองกลับโดนปรับ 1.6 ล้าน บ่นอยากฆ่าตัวตาย

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) แยกราชเทวี จัดสัมมนาเรื่อง "ค่าเสียหายจากการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน" เชิญผู้เกี่ยวข้องกับกรณีคดีความที่เทือกเขาบรรทัด และนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านโลกร้อนเข้าแสดงความคิดเห็นกรณีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ฟ้องร้องทางแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายจากชาวบ้านใน จ.ตรัง พัทลุง และกระบี่ ที่อาศัยในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด และอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา จ.กระบี่ ฐานบุกรุกทำลายป่าทำให้โลกร้อน อากาศร้อน ฝนตกน้อยลง ล่าสุดศาลพิพากษาให้ชาวบ้าน 15 ราย จ่ายค่าเสียหายให้แก่รัฐแล้ว โดย 7 รายต้องจ่ายค่าเสียหายรวม 20.30 ล้านบาท

นายพงษ์ศักดิ์ วิทวัสชุติกุล นักวิชาการชำนาญการพิเศษ จากส่วนวิจัยต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ อส. กล่าวถึงหลักการประเมินค่าเสียหายของสิ่งแวดล้อมจากการทำลายป่าต้นน้ำว่า มีการพัฒนารูปแบบการคิดคำนวณมาตั้งแต่ปี 2531 เดิมคิดมูลค่าจากเนื้อไม้ประเภทต่างๆ ต่อมาเพิ่มการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในรูปของการทำลายป่าต้นน้ำ จนถึงปัจจุบันได้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อใช้ประโยชน์ในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับผู้บุกรุกทำลายป่าต้นน้ำที่สอดคล้องกับความเป็นจริง แบบจำลองผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว คาดว่าเร็วๆ นี้ จะสามารถเผยแพร่และนำไปใช้ในพื้นที่จริง หากได้รับความเห็นชอบจากผู้บริหาร อส. อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้อาจมีความแตกต่างกันในแง่สภาพพื้นที่ เช่น ป่าเสื่อมโทรม ป่าเศรษฐกิจ มูลค่า 82,500 บาทต่อไร่ต่อปี, พื้นที่สวน 53,900 บาทต่อไร่ต่อปี พื้นที่โล่งเตียน 35,200 บาทต่อไร่ต่อปี (อ่านรายละเอียดเคียงข่าว)

ด้านท่านผู้หญิงสุธาวัลย์ เสถียรไทย ประธานสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ไม่อยากให้ อส. กรมป่าไม้ นำแบบจำลองนี้ไปใช้ เพราะจะสร้างความไม่เป็นธรรมโดยเฉพาะกลุ่มชาวนา ชาวไร่ ขณะเดียวกันแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วและมีพันธกรณีลดก๊าซเรือนกระจกก็ยังไม่นำค่าความเสียหายดังกล่าวไปใช้ปรับชาวบ้าน เรื่องนี้อาจจะส่งสัญญาณผิดในเวทีโลกว่า ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องลดก๊าซเรือนกระจก และทำให้เสียเปรียบประเทศอื่นๆ ได้

ขณะที่นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์วิจัยการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แบบจำลองคิดค่าเสียหายของ อส.เป็นการคิดแบบมุมเดียว และมีมุมมองทางวิชาการที่แคบมาก ความเสียหายจากกิจกรรมต่างๆ ที่คิดกันว่าก่อให้เกิดโลกร้อนนั้น ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยหรืองานวิชาการของประเทศใดในโลกรับรองกันว่าเป็นงานวิจัยที่สมบูรณ์หรือทฤษฎีใดๆ ที่ได้รับการยอมรับ และสามารถนำมาอ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

"
รู้สึกแปลกใจและตกใจที่นักวิชาการ อส.บอกในที่ประชุมว่า แบบจำลองนั้นได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องหมดแล้ว ไม่มีใครคัดค้าน และอยู่ระหว่างผู้บริหารอนุมัติประกาศใช้ เพราะนักวิชาการที่ทำเรื่องนี้โดยตรงยังไม่มีใครทราบข้อมูล หากประกาศใช้จริง จะมีคนเดือดร้อนจำนวนมาก หาก อส.อยากให้ได้รับการรับรอง ต้องเสนอคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาหาข้อสรุปด้วย" นายอานนท์กล่าว และว่า กรณีชาวบ้านเทือกเขาบรรทัดนั้นเรื่องเกิดมาตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อน แต่ประเทศไทยเพิ่งพูดถึงทฤษฎีโลกร้อนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเท่านั้น สิ่งที่น่าทำมากกว่ากล่าวหาว่าชาวบ้านตัดต้นยางแล้วทำให้โลกร้อน คือการพิสูจน์สิทธิที่ทำกิน และประเด็นที่น่าสนใจคือชาวบ้านตัดต้นยางแล้วถูกหาว่าทำให้โลกร้อน ทุกคนล้วนกู้ยืมเงินมาจากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางทั้งสิ้น

---------------------------------        

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1508522016

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-08-15 20:16:35 IP : 124.122.241.77


ความคิดเห็นที่ 18 (3040755)

ภาวะโลกร้อน.....

 ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง "ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทางออกเพื่อโลกที่สวย งาม" ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จัดโดยสมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่ ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเฉลี่ยเกือบ 1 องศาเซลเซียสแล้ว โดยเฉพาะที่แถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ อุณหภูมิสูงขึ้นเกือบ 4 องศาเซลเซียส ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็วว่าที่คิดไว้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายรวดเร็วเกิดจากมีนักวิทยาศาสตร์พบก๊าซมีเทนที่ขั้วโลกเหนือ ซึ่งไม่เคยพบมาก่อน โดยก๊าซชนิดนี้เป็นก๊าซพิษทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และมีความรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า สันนิษฐานว่าก๊าซมีเทนที่ขั้วโลกเหนือมาจากสิ่งที่อยู่ใต้น้ำแข็ง ถูกแช่แข็งไว้นานแล้ว แต่เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย ก๊าซเหล่านี้ก็ระเหยออกมาสู่อากาศได้

"
ที่น่าเป็นห่วงในขณะนี้มี 2 ปัจจัยหลัก คือ

1.น้ำแข็งขั้วโลกละลาย รวมถึงน้ำแข็งจากเทือกเขาต่างๆ ที่ละลายจะไหลลงสู่ทะเล มหาสมุทรต่างๆ ซึ่งมีพื้นที่ 2 ใน 3 ของโลก ส่งผลให้ปริมาณน้ำทะเลมากขึ้น

2.การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก อาจทำให้เกิดแผ่นดินใหม่ หรือแผ่นดินยุบตัวหายลงไปในทะเลใต้ดินได้ ทั้ง 2 ปัญหาจะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรูปแบบต่างๆ ได้ หากปริมาณน้ำทะเลมากขึ้นจนทำให้น้ำหนักของน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกหนักกว่าพื้นที่โลกอีกซีกหนึ่งที่เป็นแผ่นดิน หรือมีน้ำหนักมากกว่า 50% ของน้ำหนักโลกทั้งหมด ทำให้น้ำหนักโลกไม่สมดุล จนทำให้โลกต้องปรับตัวโดยการเปลี่ยนขั้วโลกอย่างกะทันหัน" ดร.อาจองกล่าว

ดร.อาจองกล่าวว่า อดีตเมื่อ 10,000 ปีก่อน เคยมีการกลับขั้วโลกกะทันหันมาแล้ว จากหลักฐานการขุดพบซากแมมมอธในน้ำแข็ง ซึ่งยังเคี้ยวหญ้าอยู่ในปาก หมายถึงการตายอย่างกะทันหันจากอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เปลี่ยนเป็นติดลบ 45-50 องศาเซลเซียส เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แต่จะเกิดเมื่อไหร่ ไม่มีใครทำนายได้ การแก้ปัญหาคือ ให้ทุกฝ่ายช่วยกันลดภาวะโลกร้อน หันมาใช้พลังงานทดแทนที่ผลิตจากพืช แสงแดด พลังงานลม ลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ทุกคนช่วยลดโลกร้อนได้โดยเริ่มจากตนเอง จากครัวเรือน ไม่จำเป็นต้องรอพึ่งใคร ขณะที่รัฐบาลก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ต้องมีความชัดเจน การแก้ปัญหาไม่ควรลงทุนแต่โครงการเมกะโปรเจ็คต์เท่านั้น

---------------------------------        

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ                             

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331                   

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1608521434

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-08-16 14:34:19 IP : 124.122.241.113


ความคิดเห็นที่ 19 (3045324)

"ม.เกษตรฯ" คืนชีพ "จักรยาน" "อนุรักษ์พลังงาน-ลดโลกร้อน"


นิสิตปั่น "จักรยาน" ถือเป็น "อัตลักษณ์" ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.)

เริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อใดนั้น ไม่มีหลักฐานอ้างอิง แต่สันนิษฐานว่าคงจะมีมาพร้อมๆ กับการสถาปนา มก.

ยุคนั้น นิสิตส่วนใหญ่นิยมปั่นจักรยานไปเรียน ถือเป็นการเดินทางที่สะดวกที่สุด

ถ้าใครอุตริไปขับรถยนต์ ถือเป็นของแปลก เพราะถูกมองว่าหรูหรา ฟุ่มเฟือยเกินตัว

ดังนั้น ถ้านิสิตปีที่ 1 ทีเรียกว่า "เฟรชชี่" ขับรถมาเรียน จะถูกเขม่นทันที ดีไม่ดีอาจถูกลองของจากรุ่นพี่ได้

แต่มาถึงยุคปัจจุบัน กระแส "วัตถุนิยม" มาแรง แทรกซึมไปทั่ว ไม่เว้นรั้วมหาวิทยาลัย


นิสิตทั้งหลายไม่ค่อยนิยมใช้จักรยาน

ภาพนิสิตปั่นจักรยานในวิทยาเขตหาดูได้ยาก

ถ้าเป็นคนมีฐานะ จะขับรถเก๋งมาเรียน จนที่จอดรถของมหาวิทยาลัยแน่นเอี้ยด การจราจรติดขัด

องค์การบริหารองค์การนิสิต มก. จึงรณรงค์ให้เพื่อนนิสิตกลับมาใช้จักรยานกันอีกครั้ง

ภายใต้ "โครงการ KU Bike" เพื่ออนุรักษ์พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัย

รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดี เกริ่นให้ฟังว่า "จะเปิดโครงการ KU Bike อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 กันยายน ซึ่งเป็นวัน "สืบ นาคะเสถียร" เพื่ออนุรักษ์สภาพแวดล้อม ทำให้อากาศภายในวิทยาเขตบางเขนบริสุทธิ์ขึ้น ขณะนี้ถนนในวิทยาเขตบางเขนได้มีการปรับเป็นช่องทางจักรยานแล้ว ต่อไปจะไม่ให้รถยนต์เข้าพื้นที่การเรียนการสอน แต่จะสร้างอาคารที่จอดรถรอบๆ แล้วจะมีรถบริการรับ-ส่งภายในให้"

"แต่ละปีได้จัดงบประมาณ 5 ล้านบาท ซื้อจักรยานให้นิสิตยืมใช้ ทั้งคนที่อยู่หอพัก และอยู่บ้าน ต่อไปจะไม่จำกัดเฉพาะนิสิต แต่ครูอาจารย์ บุคลากรมหาวิทยาลัยยืมใช้ได้ด้วย" อธิการบดี มก.ทิ้งท้าย

พจนา บุญชัยยะ นายกองค์การบริหารองค์การนิสิต มก. บอกว่า "ตอนแรกนิสิตมีคำถามว่ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนแปลงการจราจรทำไม หลังอธิบายให้ฟังว่าจะมีการรณรงค์ใช้จักรยาน เพื่ออนุรักษ์พลังงาน และรักษาสิ่งแวดล้อม นิสิตต่างตระหนัก และเห็นถึงความสำคัญ ตอนนี้นิสิตถามกันตลอดว่าโครงการยืมจักรยานใช้เริ่มได้หรือยัง"

เรียกว่ากระแสตอบรับดีมาก นิสิตต่างพร้อมใจที่อนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อช่วยลดโลกร้อน

หลังจากบอกเล่าที่มาที่ไปของโครงการ ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ วันที่ 1 กันยายน

ทั้งอธิการบดีและนิสิต ต่างก็ทำหน้าที่ "พรีเซ็นเตอร์" โครงการ กระโดดขึ้นบนอานจักรยาน ปั่นไปรอบๆ มหาวิทยาลัยในทันที

* * * * * * * * * * * *

                                                 

พันตรีศิริชัย    ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

Tel. 02-990-0331

3108521743

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทร้พย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-08-31 17:42:55 IP : 124.121.138.85


ความคิดเห็นที่ 20 (3054409)

จีนประกาศลดปล่อยก๊าซให้ได้ในปี 63

-สหรัฐฯร้องลดโลกร้อนจริงจัง

การประชุมสภาพอากาศโลกของสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้นำประเทศเกือบ 100 ประเทศเข้าร่วม นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้ ก็เพื่อสร้างแรงผลักดันทางการเมือง ในการจัดการเจรจาเรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งจะมีขึ้นที่ประเทศเดนมาร์กปลายปีนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประเทศทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซต่างๆ ที่ทำลายชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
       
จีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ได้ร่วมการประชุมสุดยอดครั้งนี้ด้วย ซึ่งประธานาธิบดีหู จิ่น เทา ของจีน ยืนยันว่า จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ ภายในปี 2563 ขณะที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐฯ เรียกร้องทั่วโลกให้เห็นความสำคัญของปัญหาโลกร้อน และร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

- - - - - - - - - - - - - - - - - -              

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2309522145

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-23 21:45:55 IP : 124.122.241.212


ความคิดเห็นที่ 21 (3056117)

จี20 ปิดฉาก เห็นพ้องเพิ่มบทบาทเอเชีย-ละตินอเมริกา-ยกเลิกอุดหนุนเชื้อเพลิงหวังลดโลกร้อน

เอเจนซี/เอเอฟพี - กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมและประเทศเฟื่องฟูใหม่ 20ชาติ(จี 20)เห็นชอบเพิ่มบทบาทของเอเชียและชาตละตินอเมริกาในเวทีโลกมากยิ่งขึ้น และประกาศว่าการต่อสู้กับเศรษฐกิจของพวกเขาได้รับความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ยังจะยังคงผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและเกิดความสมดุลให้ได้ต่อไป
       
       
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมเป็นครั้งแรก ระบุในแถลงการณ์ของที่ประชุมว่า มาตรการตอบโต้ของจี 20 ได้หยุดยั้งภัยคุกคามทางเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดการเงิน และกรอบการทำงานใหม่ของจี 20 จะเปิดทางให้ชาติสมาชิกประเมินนโยบายของชาติอื่นๆ เพื่อช่วยกันปฏิรูปและส่งเสริมให้เศรษฐกิจโลกเติบโต
       
       
การประชุมสุดยอดจี20 ในเมืองพิตต์สเบิร์กที่ปดิฉากลงเมื่อวันศุกร์(25) ยังเห็นชอบให้ยกสถานะ "จี 20" ขึ้นแทนที่ "จี 8" เพื่อให้เป็นเวทีถาวรแห่งใหม่ในการหารือและกำหนดนโยบายเศรษฐกิจโลก โดยผู้นำจี 20 ให้เหตุผลว่า การปรับให้องค์กรทางการเงินและโครงสร้างการพัฒนาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเสถียรภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนและช่วยยกระดับชีวิตของคนจนให้ดีขึ้นด้วย
       
       
จี 20 ยังเห็นพ้องว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่หยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังเห็นชอบให้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีน อินเดีย บราซิล และเม็กซิโก รวมถึงภูมิภาคเอเชียและละตินอเมริกา เข้ามามีบทบาทในเวทีโลกเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับสมดุลของเศรษฐกิจโลก
       
       
ในประเด็นเรื่องต่อสู้กับภาวะโลกร้อน จี 20 ยังบรรลุข้อตกลงจะเลิกการให้เงินอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลก
       
       
จี 20 ระบุว่า ในแต่ละปี ทั่วโลกใช้เงินประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับต่ำโดยไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง นำไปสู่การบริโภคน้ำมันมากขึ้นและปล่อยก๊าซที่ทำให้โลกร้อนเพิ่มขึ้นด้วย การบรรลุข้อตกลงยกเลิกเงินอุดหนุนราคาน้ำมันได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกจี20 ทุกประเทศ และนับเป็นชัยชนะของประธานาธิบดีโอบามา ที่จะสามารถโน้มน้าววุฒิสภาสหรัฐฯให้ผ่านร่างกฎหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก่อนที่การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยโลกร้อนจะเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าดูเเหมือนว่า รัสเซีย จีน บราซิล และอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่อุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ยอมตกลงง่ายๆ กับข้อตกลงใดๆ ก็ตามที่ขัดวางนโยบายนี้ของพวกเขา
       
       
การตัดเงินอุดหนุนราคาน้ำมันจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนลงได้ 10% ในปี 2050 ซึ่งในแถลงการณ์ของจี-20 ได้ระบุว่ารัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังของชาติสมาชิกจะกำหนดกรอบเวลาและยุทธศาสตร์การยกเลิกเงินอุดหนุนราคาน้ำมัน และส่งรายงานมาถึงผู้นำในการประชุมสุดยอดจี20 ครั้งต่อไป
       
       
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมกลุ่มจี-20 ไม่ได้มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่าการประชุมสหประชาชาติเพื่อทำข้อตกลงใหม่ที่จะลดภาวะโลกร้อน อาจไม่ประสบความสำเร็จ
       
       
ทั้งนี้ การประชุมจี20 เริ่มขึ้นตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะที่การประชุมครั้งต่อไปในปีหน้า เกาหลีใต้และแคนาดาประกาศรับเป็นเจ้าภาพ โดยเกาหลีใต้ซึ่งจะรับตำแหน่งประธานหมุนเวียนของกลุ่มประเทศจี20 ในปีหน้า จะจัดการประชุมจี-20 ที่กรุงโซลในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดครั้งที่ 5 ของกลุ่มจี20 นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่แคนาดาจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในเดือนมิถุนายน ซึ่งจะเป็นการประชุมนอกรอบระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี 8 ที่เมืองมุสโคกา
       
       
การประชุมคราวนี้ยังเกิดขึ้นขณะทีอิหร่านยอมรับว่า มีโรงงานแปรรูปยูเรเนียมแห่งที่สองที่ใช้ในโครงการพัฒนาเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ใช้เวทีนี้เรียกร้องให้อิหร่านเปิดช่องทางให้ทบวงพลังงานปรมาณูสากลเข้าไปตรวจสอบทันที และขู่ว่าจะคว่ำบาตรอิหร่านรุนแรงมากยิ่งขึ้นด้วย

- - - - - - - - - - - - - - - - - -              

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2609522156

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-09-26 21:56:21 IP : 124.122.26.46


ความคิดเห็นที่ 22 (3058272)

น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ สัญญาณเตือนต้องแก้โลกร้อนอย่างจริงจัง

ผู้เชี่ยวชาญชี้น้ำท่วมครั้งใหญ่ในฟิลิปปินส์เป็นสัญญาณบ่งชี้ต้องแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง เตือนหลายล้านชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ด้านองค์กรการกุศลอังกฤษระบุอีก 6 ปีข้างหน้าประชากรโลก 54% จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
       
       
แม้ชาวฟิลิปปินส์จะคุ้นเคยกับพายุไต้ฝุ่น ซึ่งกระหน่ำลงมาทุกปีราวๆ ลูกอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ มหาอุทกภัยจากพายุ กิสนา” (Ketsana) ซึ่งมียอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการราว 240 คนนั้น กลับเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงผิดปกติสำหรับผู้คนในท้องที่นั้น ซึ่งเอเอฟพีระบุว่า ปริมาณฝนที่ตกลงมาต่อเนื่อง 9 ชั่วโมงในกรุงมนิลานั้น มากกว่าปริมาณฝนจากเฮอร์ริเคนแคทรินา (Hurricane Katrina) ที่ถล่มนิวออร์ลีนส์ของสหรัฐฯ เสียอีก
       
       
แอนโธนี กอเลซ (Anthony Golez) หัวหน้าหน่วยป้องกันภัยพลเรือนของฟิลิปปินส์ และพริสโก นิโล (Prisco Nilo) หัวหน้าหน่วยพยากรณ์สภาพอากาศของฟิลิปปินส์ ต่างพิศวงต่อการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดของไต้ฝุ่นซึ่งถล่มประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
       
       
กอเลซระบุว่า ในเดือน เม.ย.ซึ่งควรจะเป็นฤดูร้อนสำหรับฟิลิปปินส์ แต่กลับมีพายุไต้ฝุ่นถึง 3 ลูกพัดถล่มประเทศ โดยหนึ่งในนั้นกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินถล่มซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 250 คนทางตอนใต้ของเมืองหลวง และพายุไต้ฝุ่นในช่วงเดือน มิ.ย.ยังมีเส้นทางที่เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติ โดยเคลื่อนตัวผ่านทางตอนเหนือและส่วนกลางของเกาะลูซอน (Luzon) เป็นครั้งแรก และสำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในฟิลิปปินส์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนกว่า 12 ล้านคน ซึ่งรวมถึงพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดน้ำท่วมมาก่อน
       
       
เมื่อคุณลองสังเกตข้อมูลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คุณจะเห็นว่าปีนี้และปีที่ผ่านมาเป็นปีที่แปลกประหลาดมาก และเราก็ทำได้เพียงสันนิษฐานว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น กอเลซกล่าว
       
       “
เราไม่อาจกล่าวโทษเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นเพราะฝน เราทราบว่านี่เป็นอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องโต้เถียงกันเรื่องนี้อีก นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจำเป็นต้องเตรียมตัว นี่เป็นเพียงประสบการณ์แรกของสิ่งที่จะเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมตัวมากกว่านี้ และเราต้องแก้ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมาร์ก เดีย (Mark Dia) นักรณรงค์ของกรีนพีซให้ความเห็นผ่านสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่น
       
       
ทางด้าน อีโว เดอ โบร์ (Yvo De Boer) ประธาน สำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาว่าด้วยโลกร้อน ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ องค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ กล่าวว่า น้ำท่วมในฟิลิปปินส์นั้นเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นที่โลกต้องตกลงสัญญาในการจัดการปัญหาโลกร้อนก่อนเส้นตายในเดือน ธ.ค.นี้ ภายในการเจรจาที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก
       
       
โบร์กล่าวว่าข้อตกลงร่วมกันระดับโลกนี้จะรับประกันว่า ความถี่และความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้วอย่างที่เกิดขึ้นนี้จะลดลง ตามผลของนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง ทั้งนี้ผู้ร่วมเจรจาในเวทีของสหประชาชาติพยายามนำร่างหนังสือในสองประเด็นหลักๆ ที่ยังตกลงกันไม่ได้คือ เรื่องลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเรื่องความร่วมมือทางด้านการเงินขึ้นมาพิจารณา เพื่อหาข้อสรุปสำหรับการประชุมที่โคเปนเฮเกน
       
       
ขณะที่ จอส เบอร์เซลส์ (Jose Bersales,) นักมนุษยธรรมและผู้อำนวยการกิจการฉุกเฉินขององค์กรการกุศล เวิร์ลวิชัน” (World Vision) เตือนว่าพายุที่ฟิลิปปินส์เหมือนกับหายนะของผู้ที่ยากจนที่สุดในโลก ซึ่งมักไม่ได้เตรียมการเพื่อรับมือกับพายุ และยังเป็นเสียงปลุกให้โลกเตรียมตัวในการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โคเปนเฮเกนในปลายปีนี้
       
       
ทางเวิร์ลวิชันยังกล่าวถึงคำพยากรณ์ของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศหรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนจะมีความรุนแรงขึ้น มีกระแสลมรุนแรงขึ้นและมีพายุฝนหนักขึ้นด้วย ซึ่งภัยพิบัติในฟิลิปปินส์ครั้งนี้เป็นเหมือนหายนะทำลายล้างสำหรับประชากรของประเทศ 43% หรือ 36 ล้านคน ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยรายได้ต่ำกว่าวันละ 2 ดอลลาร์ และมีหมอ 1 คนที่ต้องดูแลผู้ป่วย 1,700 คน ซึ่งคนจำนวนนี้ต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อรับมือกับพายุอันเลวร้าย
       
       
นอกจากนี้งานวิจัยขององค์กรการกุศลออกซ์แฟม (Oxfam) ของอังกฤษยังระบุด้วยว่า ในอีก 6 ปีข้างหน้าจะมีประชากรโลก 54% หรือ 375 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ

- - - - - - - - - - - - - - - - - -              

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

0110520844

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-10-01 08:44:53 IP : 124.121.140.89


ความคิดเห็นที่ 23 (3136626)

เร่งวิจัยการหายใจของผื่นป่าไทย เตรียมรับมือมหันตภัย"โลกร้อน"

 

พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของป่า ถือได้ว่าเป็นแหล่งที่มีการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) และเปลี่ยนให้กลายเป็นออกซิเจนที่บริสุทธิ์ให้กับมนุษย์

ทว่าด้วยผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนในปัจจุบันทำให้ป่ากลายเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อน ไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก

ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ในอนาคตหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้ป่าปลดปล่อยคาร์บอนที่เก็บสะสมไว้ออกมาจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจึงเร่งศึกษาอัตราการปล่อย CO2 จากป่าเพื่อเฝ้าระวังการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว

สำหรับในประเทศไทย ขณะนี้ทางบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ได้เริ่มสนับสนุนให้มีการศึกษาการปล่อย CO2 ในพื้นที่ป่าแล้ว โดยได้เลือกพื้นที่ป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าที่มีพื้นที่ครอบคลุมมากเป็นอันดับสามในประเทศไทย

 


นายพงษ์เทพ หาญพัฒนากิจ นักศึกษาปริญญาเอก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ผู้ทำการศึกษาการวัดอัตราการปล่อย CO2 จากการหายใจของรากและจุลินทรีย์ในดินป่าเต็งรัง กล่าวว่า การดูดซับ CO2 ในป่าเกิดจากการสังเคราะห์แสงเพื่อผลิตอาหาร สร้างเนื้อไม้ กิ่ง ก้าน ลำต้น และส่วนต่างๆ ของพืช ในขณะที่การปลดปล่อย CO2 เกิดจากการหายใจของพืช และสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่อยู่ในป่า

ทั้งนี้มีข้อมูลว่า การหายใจจากป่าส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตบริเวณผิวดินหรือประมาณร้อยละ 80 ของการหายใจจากสิ่งมีชีวิตในป่าทั้งหมด ดังนั้นงานวิจัยจึงได้ทำการ ศึกษาการหายใจของสิ่งมีชีวิตผิวดิน ซึ่งประกอบด้วยรากพืช จุลินทรีย์ และสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งโดยปกติการหายใจเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอก การ ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณการหายใจ และความสัมพันธ์กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ในการคาดการณ์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อระบบนิเวศป่าไม้ ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องมาถึงสังคมมนุษย์ด้วย

"การเก็บข้อมูลอัตราการหายใจบริเวณผิวดินทำโดยการติดตั้งเครื่องมือวัดความเข้มข้นของ CO2 บริเวณผิวดิน ในพื้นที่ป่าเต็งรัง จังหวัดราชบุรี พื้นที่ประมาณ 187.2 เฮกเตอร์ (hectare) และทำการเก็บข้อมูลต่อเนื่องทุกชั่วโมงเป็นเวลา 1 ปี เพื่อให้ทราบข้อมูลทางด้านปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการหายใจที่ผิวดิน เช่น อุณหภูมิดิน อากาศ และความชื้นในดิน"

"ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าความชื้นในดินที่เพิ่มขึ้นมีผลให้การหายใจผิวดินเพิ่มขึ้นโดยพบการปล่อย CO2 เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า ในช่วงที่มีความชื้นในดิน หรือมีปริมาณน้ำฝนมาก (16-22%water-fill pore space) และการหายใจผิวดินจะลดลงเมื่ออุณหภูมิในดินสูงขึ้น (30-35oC) อาจเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิต ในดินจะลดกิจกรรมลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้การหายใจลดลงตามไปด้วย" นายพงษ์เทพกล่าว

 


เขา อธิบายว่า ทั้งนี้จากการวัดการหายใจของป่าเต็งรังระยะเวลา 1 ปี พบอัตราการปล่อย CO2 จากป่าเต็งรัง ประมาณ 8 ตัน คาร์บอน/เฮกแตร์/ปี หรือ 3.06 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์/ตารางเมตร/ปี โดยเป็นการหายใจของรากพืชประมาณ 35% และการหายใจของจุลินทรีย์ 65%

อย่างไรก็ดี ข้อมูลการศึกษาดังกล่าวจะเป็นข้อมูลสำคัญในการคำนวณการปล่อย CO2 จากป่าเต็งรังทั้งหมดในประเทศไทย เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ที่จำเป็นต้องทำเพื่อนำเสนอแก่ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC)

นอกจากนี้ ข้อมูลที่ทำการศึกษานี้ยังสามารถเป็นตัวแทนของป่าเต็งรัง ซึ่งเป็นป่าเขตร้อนแบบหนึ่งของโลก รวมไปถึงยังเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญสำหรับประเทศไทย ในการพัฒนาแบบ จำลองพยากรณ์ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อผืนป่า เพื่อใช้สำหรับตั้งรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อนาคตได้อีกด้วย

SCOOP@NAEWNA.COM

- - - - - - - - - - - - - - - - - -              

พันตรีศิริชัย   ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1012522048

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-12-10 20:48:15 IP : 124.121.143.146


ความคิดเห็นที่ 24 (3139084)

ถกโคเปนเฮเก้นเหลว-อภิสิทธิ์ยังเดินหน้ามาตรการลดโลกร้อน

เดนมาร์ก โคเปนเฮเก้น ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคี กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการแปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 15 และพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 5 ณ กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก ระหว่างวันที่ 17-20 ธันวาคม

นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินการของประเทศไทยในช่วงต่อจากนี้ ขณะที่การประชุมระดับสูงของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ยังไม่สามารถหาข้อยุติ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะเดินหน้าดำเนินการตามมาตรการที่ประกาศไว้อย่างจริงจัง ทั้งตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 และแผนการพัฒนาพลังงาน

"หากข้อตกลงนี้จะมีเรื่องของเงินทุน เทคโนโลยี ที่จะเข้ามาช่วยเรา จะทำให้เราทำงานได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามในส่วนมาตรการภายในของไทยที่ประกาศไว้ จะเดินต่ออย่างแน่นอน ผมคิดว่าปัญหาหนึ่งที่ประเทศไทยยังต้องการได้รับสนับสนุนเรื่องระบบข้อมูลเพิ่มเติม เพราะเวลาเราทำงาน เราอยากวัดเทียบเคียงกับเป้าหมายอย่างเป็นระบบ จึงต้องมีการพัฒนา ซึ่งจากการประชุมครั้งนี้ สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศพร้อมสนับสนุนด้านการเงิน โดยมีตัวเลขที่ชัดเจนมากขึ้น แต่เนื่องจากกรอบข้อตกลงยังไม่มี การบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวจึงต้องรอไปก่อน ส่วนการประชุมปีหน้าจะได้ข้อยุติหรือไม่ อยู่ที่ว่าการประชุมครั้งนี้ จะหาข้อตกลงในแง่กรอบเวลาการทำงาน และประเด็นที่จะทำต่อไปอย่างไร แต่อย่างน้อยก็มีเส้นตาย การเดินหน้าตามพิธีสารเกียวโตจะสิ้นสุดในปี 2555" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากแต่ละประเทศไม่ยอมลดเงื่อนไขของตัวเองหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ปฏิเสธได้ยาก ว่าแต่ละประเทศมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ในแง่ประเทศกำลังพัฒนา เราต้องการช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ต้องหาความสมดุล เพราะไม่ต้องการให้การแก้ไขปัญหาไปทำลายโอกาสเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน และกระบวนการพัฒนาประเทศ เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบร่วมกัน แต่กระบวนการแก้ไขปัญหาต้องแตกต่างกัน ทั้งในแง่ความพร้อมและปัจจัยทางเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว มีข้อจำกัดทางการเมือง เช่น สหรัฐ จะมีปัญหามาตลอด เนื่องจากสภาไม่ได้ให้อำนาจอย่างเต็มที่แก่ประธานาธิบดี เห็นได้จากต้องนำเรื่องสำคัญๆ เข้าหารือต่อที่ประชุมสภา จึงต้องชั่งใจว่าจะทุ่มเทให้กับเรื่องนี้ได้มากน้อยเพียงใด

"เราทราบตั้งแต่ต้น มันไม่ง่าย และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้นำรัฐบาล 100 กว่าประเทศ ต้องเดินทางมาร่วมประชุม เพราะรู้ว่า ถ้าไม่มา จะตกลงอะไรกันแทบไม่ได้เลย นอกจากจะยืดเวลาออกไป  ต้องยอมรับว่าการบริหารจัดการประชุมครั้งนี้ ใช้ประโยชน์จากการที่หัวหน้ารัฐบาลเดินทางมาไม่ดีเท่าที่ควร จึงเสียโอกาสไป การประชุมครั้งหน้าจะได้ข้อยุติหรือไม่ และต้องรอดูอีกระยะว่าบุคคลที่มีบทบาทสำคัญกับการดำเนินการตามแนวทางนี้ทบทวนหรือไม่ว่า เกิดปัญหาจากอะไร ล้มเหลวหรือไม่ อย่างไร" นายกรัฐมนตรี กล่าว

 

 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)

www.waddeeja.com

Tel.02-990-0331

1912521820

 

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2009-12-19 18:20:37 IP : 124.122.2.106


ความคิดเห็นที่ 25 (3205860)
replica watch store breitling watch replicas the timepiece catches and holds the gaze with its passionate personality glowing against the black backgroundCrafted in a sporty style the novel Guepard watch is featured by an impressive steel case zenith watch cartier watch which carries an interchangeable bezel Both front and back sides of the model are engraved with sapphire crystals The design bears 50-meter water-resistanceBeating inside the watch case is a self-winding movement - ETA 2836 advanced by Guep
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (yeayua-at-sohu-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-25 00:20:41 IP : 125.121.215.19


ความคิดเห็นที่ 26 (3205931)
discount ugg bailey button boots many potholes and ruts lying in wait ugg boots that said uggs for sale the local riders expertly maintain the trail ugg boot most of trail is a beginner trail but includes
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (idovfs-at-pchome-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-25 00:35:51 IP : 125.121.215.19


ความคิดเห็นที่ 27 (3221192)
A history of GHD locks straighteners Do you would like the accomplished journey abaft ghd The grownup secrets of how an all-around super brand name was born Nicely aboriginal issues aboriginal afore we get agitated away let"s get a handful of details straight GHD is really a British corporation as well as additional as that itกฏs a Yorkshire corporation "Flippin" eck" we apprehend you say and you"d be correct Becoming a correct Yorkshire company the journey of ghd (or Jemella Ltd are they"re accepted on a Sunday) is according to harder strategy at t"forefront of all-around curly hair care All of it began if the blow of us were just accepting around our millennium celebrations Because the aggregate hangovers cleared several people have been acquainted that a anarchy was just demography place an insurgence inside the head of hair affliction apple that was to banish bad hair canicule for suitable and actualize a movement that will go on to become in time a new adoration for head of hair! When the aboriginal bowl locks straightening adamant was accustomed inside UK cipher obtained anytime obvious annihilation like ghd ghd straighteners it Being an ex-hairdresser to get a prime salon Robert Powls the guy who happened up this expense possession knew a lot if it came to head of hair Convinced he was assimilating a winner he and two business enterprise ally acquired the rights to your item alleged it the appropriate hair day locks straightener ("GHD") and started trading To activate with loads of hairdressers anticipation they had been badinage if they reply the GHD curly hair straightener with a retail amount of about $100! It really is genuinely could have an attempt!
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (gckslw-at-163-dot-com)วันที่ตอบ 2010-11-01 16:58:54 IP : 125.122.102.4



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 802/410 หมู่12 หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร : 02-990-0331 Copyright © 2010 All Rights Reserved.