วันที่ 23 ตุลาคม 2553 ถือเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทยเพราะเป็นวันครบรอบ 100 ปีแห่งการสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประชาชนชาวไทยต่างน้อมรำลึกและพร้อมใจกันถวายพระสมัญญานาม แด่พระองค์ท่านว่า "พระปิยมหาราช" พระราชาผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งปวงชนชาวไทย
ตลอดรัชสมัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านปฏิบัติ พระราชกรณียกิจ มากมายทั้งทางด้านการปกครอง และด้านการศึกษา แต่สิ่งที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับรัชสมัยของพระองค์ ที่ผู้คนไม่ค่อยจะกล่าวถึงนัก นั่นคือ การพัฒนาด้านสถาปัตยกรรม ที่ยังมีหลักฐานให้เห็นจนถึงปัจจุบันนี้ ตลอดรัชสมันของพระองค์ถือได้ว่า เป็นยุคที่สยาม รับเอาสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เข้ามาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบไทยอย่างลงตัว มีความงดงาม โดดเด่น และถือเป็น มรดกทางสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าของประเทศไทย ที่สืบมาจนถึงวันนี้
สถาปัตยกรรมที่เด่นสง่าในสมัยของพระองค์ท่าน และจนถึงปัจจุบันมีมากมาย อาทิ... พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2418 ออกแบบโดยนายจอห์น คลูนิส (John Clunis) เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เป็นแม่กองในการก่อสร้าง มีพระราชพิธีก่อพระฤกษ์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2419 แล้วเสร็จและมีพระราชพิธีเฉลิมราชมณเฑียรในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2425 พร้อมกับการสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์และ พระราชวงศ์จักรีครบ 100 ปี ลักษณะสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นแบบนีโอคลาสสิค มีการแบ่งอาคารเป็น 3 ชั้น ประดับเสาอิง ซุ้มหน้าต่างและลวดลายปูนปั้นแบบอิตาเลียนเรอเนสซองส์ แต่เรือนยอดซึ่งเดิมออกแบบไว้เป็นรูปโดมนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) กราบบังคมทูล ทักท้วงว่าสมควรสร้างเป็นแบบไทย รัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้พระยาราชสงคราม (ทัต หงสกุล) ทำหลังคาจตุรมุขยอดปราสาท 7 ชั้น ที่มุขกลางทำมุขเด็จยื่นออกมา ให้รับกับเรือนยอดพระมหาปราสาท ส่วนมุขกระสันชักหลังคาซ้อน 3 ชั้น สันหลังคาประดับบราลี มุงกระเบื้องเคลือบสี
พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นพระที่นั่งท้องพระโรงประจำพระราชวังดุสิต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งอัมพรสถาน ที่สุดถนนราชดำเนินนอก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นายช่างชาว อิตาเลียนประจำกรมโยธาธิการ ได้แก่ นายมาริโอ ตามานโญ ( Mario Tamagno) นายอันนิบาเล ริก็อตติ (Annibale Rigotti) สถาปนิก นายคาร์โล อาร์เลกรี (Carlo Allegri) นายเอมิลิโอ โจวันนี กอลโล (Emilio Giovanni Gollo) วิศวกรร่วมกันออกแบบ มีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) และพระยาประชากรกิจวิจารณ์ (โอ อมาตยกุล) เป็นแม่กอง เริ่มก่อสร้างในพ.ศ. 2450 มีพระราชพิธีก่อศิลาพระฤกษ์ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 แล้วเสร็จในพ.ศ. 2456 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2459
พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นอาคารโครงสร้างคอนกรีต มีฐานรากแผ่ทำด้วยคอนกรีต ตามวิธี กอมแปร๊สโซล (Compressole) ของบริษัทฝรั่งเศส ผนังภายนอกกรุด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองคาร์ราร่า (Carrara) ประเทศอิตาลี ภายในประดับด้วยหินอ่อนสีต่างๆ ลวดลายปูนปั้นปิดทองสอดสี ตลอดจนจิตรกรรมแบบปูนแห้ง (fresco secco) เป็นลวดลายแบบนีโอคลาสสิค ผสมผสานรูปแบบอาร์ต นูโว (Art Nouveau) และศิลปกรรมไทย เพดานโดม 6 โดม เขียนภาพพระราชกรณียกิจ สำคัญของพระมหา กษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ 6 รัชกาล ฝีมือนายกาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) นายเซซาเร แฟโร (Cesare Ferro) และ นายคาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) จิตรกรชาวอิตาเลียนประจำกรมโยธาธิการ
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตั้งอยู่ที่ถนนนครปฐม ฝั่งตะวันตกของคลองเปรมประชากร เป็นพระ-อารามหลวงชั้นเอกฝ่ายมหานิกาย ชนิดราชวรวิหาร เดิมเป็นวัดโบราณ ชื่อวัดแหลม หรือวัดไทรทอง ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พระราชโอรส มีพระราชศรัทธาปฏิสังขรณ์วัดแหลม พร้อมด้วยพระอนุชาและพระภคินีร่วมเจ้าจอมมารดา 4 พระองค์ คือ กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ พระองค์เจ้าหญิงอินทนิล และพระองค์เจ้าหญิงวงศ์ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานนามวัดนี้ใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร หรือ วัดของเจ้านาย 5 พระองค์
ในราวพ.ศ. 2450 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างพระราชวังดุสิต เป็นพระราชฐานที่ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ นอกพระนคร การก่อสร้างในครั้งนั้น ต้องผาติกรรมที่วัดร้างรวม 4 วัด คือ วัดดุสิต วัดช่องลม วัดพนม และวัดแหลม รัชกาลที่ 5 จึงโปรดฯ ให้สถาปนาวัดวัดเบญจบพิตรขึ้นใหม่ทั้งวัด ทดแทนที่วัดร้าง 4 วัดนั้น พระราชทานนามพระอารามใหม่ว่า "วัดเบญจมบพิตร" พระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2442
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบพระอุโบสถและอาคารสำคัญอื่นๆ ให้เป็นรูปแบบศิลปะไทยประยุกต์ โดยระดมช่างทั้งไทยและฝรั่ง ร่วมกันสร้างพระอารามนี้ เช่น นายคาร์โล อัลเลกรี (Carlo Allegri) นายช่างชาวอิตาเลียนประจำกระทรวงโยธาธิการ ดูแลงานวิศวกรรมโยธา นายมาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) เขียนแบบงานหินอ่อน ซึ่งสั่งจากประเทศอิตาลีทั้งหมด พระบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวรวัฒน์ศุภากร ทรงกำกับงานช่างเขียนอย่างไทย พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร กำกับงานช่าง สิบหมู่ พระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) ดูแลการก่อสร้าง
ที่กล่าวมาข้างต้นถือว่าเป็นส่วนน้อย เพราะสถาปัตยกรรมในรัชสมัยของพระองค์ท่านมีมากกว่า 200 แห่ง ได้แก่พระราชวังวัง ,ศาสนสถาน ,บ้าน ,อาคารราชการ ,อาคารพาณิชย์ ,อาคารเพื่อสาธารณูปโภค และสถาปัตยกรรมชั่วคราว ทั้งที่ยังคงรักษาสภาพมาจนถึงปัจจุบันและไม่มีปรากฏแล้ว จึงได้มีภาคเอกชน จัดทำหนังสือสถาปัตยกรรมในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ขึ้นเพื่อให้ปวงชนชาวได้เห็นพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน ทางด้านสถาปัตยกรรม
นายสมประสงค์ บุญยะชัย รองประธานกรรมการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิช จำกัด(มหาชน) หรือ "เอไอเอส" บอกว่า เอไอเอส ได้จัดพิมพ์หนังสือสถาปัตยกรรมในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ขึ้น โดยจัดพิมพ์เป็นหนังสือ จำนวน 2,453 เล่ม ตามปีพุทธศักราชที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคต และได้จัดทำในรูปแบบซีดีรอม จำนวน 5,000 ชุด เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวที่ ทรงทะนุบำรุง ศิลปะสถาปัตยกรรม ให้เป็นที่ประจักษ์ โดยมิได้จัดทำเพื่อจำหน่าย แต่ส่งมอบหนังสือและซีดีรอมดังกล่าว ให้แก่ห้องสมุดและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยผ่านสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชูปภัมถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเผยแพร่ข้อมูลอันทรงคุณค่าให้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ที่สนใจประวัติศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ถือเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อปวงชนชาวไทย...
SCOOP@NAEWNA.COM
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)
โทร. 02-990-0331
http://www.apdi2002.com
http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ
ความคิดเห็นที่ 3 (3220958) | | ขอบคุณในเนื้อหาดีๆ | ผู้แสดงความคิดเห็น ta tuk วันที่ตอบ 2010-10-31 21:15:04 IP : 115.87.185.144
|
|