ถ้าอ้างเช่นนั้นได้ ก็เท่ากับว่า ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำลายอำนาจหน้าที่ในการถอดถอนของวุฒิสภาไปโดยปริยาย เพราะจะต้องรอคำพิพากษาในคดีอาญาของศาล ทั้งๆ ที่ กรณีถอดถอนนั้น รัฐธรรมนูญให้ ป.ป.ช.เป็นผู้ทำหน้าที่ไต่สวนและชี้มูลความผิด เสนอให้วุฒิสภาดำเนินการ แยกต่างหากจากคดีอาญา
ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยแจ้งชัดว่า มติของวุฒิสภาตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด... แต่ไม่กระทบกระเทือนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
3) นายสมชาย อ้างว่า ตอนสายวันที่ 7 ต.ค. 2551 เดินทางเข้าไปรัฐสภา เพื่อแถลงนโยบาย ไม่ได้ล่วงรู้ว่ามีเหตุรุนแรง ตั้งแต่ 06.15 น. และเมื่อแถลงนโยบายเสร็จ จะออกจากรัฐสภา ก็เกรงว่าเจ้าหน้าที่ต้องสลายการชุมนุม จึงอุตส่าห์ปีนกำแพงหนีไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์พร้อมลูกสาวที่เป็น ส.ส. เพื่อจะได้ไม่สลายการชุมนุม
เมื่อถูกดำเนินการถอดถอน นายสมชายอ้างกับวุฒิสภาว่า ตลอดทั้งวัน ตนเองไม่ได้รับรายงาน เลยไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
แต่ในความเป็นจริง... คนไทยเกือบทุกคน ล้วนได้รู้ถึงความรุนแรงของเหตุการณ์จากภาพข่าวสื่อสารมวลชนตลอดทั้งวัน (ตั้งแต่เช้าตรู่) แม้ในที่ประชุมรัฐสภา ก็ปรากฏว่า ส.ว.รสนา โตสิตระกูล และ ส.ว.ประสงค์ นุรักษ์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายต่อว่า แถลงข้อเท็จจริงต่อหน้านายสมชายว่ามีคนบาดเจ็บร้ายแรงจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และกล่าวตำหนิในทำนองว่ายังมีการแถลงนโยบายโดยไม่รู้สึกรู้สม เดินเหยียบกองเลือดเข้ามามีอำนาจรัฐ ฯลฯ
4) นายสมชาย อ้างว่า ตนเองได้มอบหมายให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ และ ผบ.ตร.ก็มีหน้าที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ตนจึงไม่ต้องรับผิดชอบ
ในความเป็นจริง... เมื่อพลเอกชวลิตลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ของวันที่ 7 ต.ค.2551 หน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมด จึงตกอยู่กับนายกรัฐมนตรีสมชายเอง
ยิ่งกว่านั้น ข้อเท็จจริงยังมัดตัวแน่นหนาว่า นายสมชายได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร. ในขณะนั้น มาสั่งการในคืนวันที่ 6 ต.ค.2551 ด้วยตนเอง
5) นายสมชาย อ้างว่า ไม่มีอำนาจสั่งการ เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ความเป็นจริง นายสมชายได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ยิ่งกว่านั้น ในตอนสายของวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งได้มีการแถลงนโยบายในช่วงเช้าเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่นายสมชายก็ยังไม่สั่งการให้ยุติการใช้ความรุนแรงกับประชาชน จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน
ในความเป็นจริง การแถลงนโยบายก็ไม่จำเป็นต้องกระทำในวันที่ 7 ต.ค. หรือต้องกระทำที่อาคารรัฐสภาเสมอไป จะเห็นได้ว่า เมื่อมีเหตุจำเป็น หรือเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นต่อประชาชนและส่วนรวม รัฐบาลชุดปัจจุบัน นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็สามารถเลือกที่จะแถลงนโยบายที่กระทรวงการต่างประเทศ
6) นายสมชาย อ้างว่า น.ส.อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. ที่ศพมีคราบซีโฟร์ แสดงว่าเสียชีวิตจากอาวุธที่ผู้ชุมนุมพกพาไปเอง
ทั้งๆ ที่ กรณีนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ พล.อ.ต.นพ.วิชาญ เบี้ยวนิ่ม พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา และ พ.ต.ท.กำธร อุ้ยเจริญ ต่างยืนยันว่า สาเหตุการตายของ น.ส.อังคนา คือ แก๊สน้ำตาที่ผลิตในประเทศจีน บรรจุวัตถุระเบิดแรงสูง มีสารอาณ์ดีเอ็กซ์และซีโฟร์ ประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เจาะจงใช้แก๊สน้ำตาชนิดนี้ในการปฏิบัติการวันนั้น นอกจากนี้ สภาพบาดแผลของ น.ส.อังคนา เกิดจากแรงระเบิดที่ใกล้ตัว แต่ไม่ประชิดตัว การหักของกระดูกซี่โครง ยาวตลอด 12 ซี่ จึงเป็นลักษณะถูกอัด หรือแรงกระแทกภายนอก ซึ่งหากเป็นระเบิดประชิดตัวหรือที่หนีบไว้กับตัวอย่างที่มีการอ้าง ซี่โครงจะแตกเป็นชิ้น และกระเป๋าสะพายของ น.ส.อังคนา ก็คงจะเสียหาย ไม่อยู่ในสภาพดี รวมทั้งโทรศัพท์มือถือก็ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ ขณะที่มีการตรวจพิสูจน์
7) การถอดถอนตามรัฐธรรมนูญกำหนดเพียงแค่ "ส่อว่า" ก็สามารถถอดถอนได้
แต่กรณีของนายสมชาย ปรากฏว่า องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดแล้วว่า นายสมชายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้ชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค.2551 หลายคนอาการสาหัส ถึงขั้นขาขาดแขนขาด ทั้งยังทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น เมื่อนายสมชายทราบว่าเกิดความรุนแรง ก็ไม่สั่งการให้ตำรวจยุติการกระทำ กลับปล่อยให้กระทำรุนแรงขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่เช้าจนค่ำ อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนมาก
การกระทำของนายสมชาย จึงชัดเจนยิ่งกว่า "ส่อว่า" เสียอีก!
จับตา... การปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของวุฒิสภา
ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยังไม่เคยมีกรณีใดสามารถลงโทษนักการเมืองที่กระทำการปราบปราม เข่นฆ่า ทำร้ายประชาชนได้เลย ไม่ว่าจะเป็น 14 ต.ค. 2516, 6 ต.ค.2519 หรือพฤษภาทมิฬ 2535 ผู้มีอำนาจการเมืองจึงได้ใจ และเป็นทรราช มีการกระทำเข่นฆ่าประชาชนเรื่อยมา
น่าสนใจว่า... ในการถอดถอนนายสมชายตามรัฐธรรมนูญครั้งนี้ วุฒิสภาจะต้องใช้มติ 3 ใน 5
หมายความว่า จะต้องมี ส.ว.ลงมติถอดถอน ไม่น้อยกว่า 90 คน จาก ส.ว.ทั้งหมด 150 คน
ไม่ใช่เรื่องง่าย!
วันพรุ่งนี้... สังคมไทยจะต้องจับตามอง คาดหวัง และพยายามสื่อสารถึงผู้แทนปวงชนชาวไทย ให้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา เพื่อร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย
เต็มคำว่า "ความรับผิดชอบ" และ "ถอดถอน" เข้าไปบนเส้นบรรทัดของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการถอดถอนครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยพลังแรงของประชาชนผู้เข้าชื่อร่วมกัน 24,489 คน นำโดย รศ.จิราภรณ์ ลิ้มปานานนท์ อันจะเป็นก้าวใหม่ที่เสริมเติมพลังของการเมืองภาคพลเมืองของไทยให้มีความเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้นไป
ผู้แทนประชาชน จะต้องไม่ปกป้องนักการเมืองด้วยกัน โดยละทิ้งหน้าที่ ทอดทิ้งประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ใส่เสื้อสีใด!
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ
นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล (ส.พ.ค.)
โทร. 02-990-0331
http://www.apdi2002.com
http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ
สมาคมคนพิการ
0803531640
*********************
|