ReadyPlanet.com


ห้องสมุดความรู้ของคนพิการ


 

นักบินอวกาศคนแรกโสมขาวกลับโลก วันนี้ 19 เมษายน 2551

 

โฆษกของศูนย์ควบคุมด้านอวกาศของรัสเซีย เปิดเผยว่า ยานโซยุซ ทีเอ็มเอ-11 ได้แยกตัวออกจากสถานีอวกาศนานาชาติ เมื่อเวลา 12.06 น. วันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อเริ่มเดินทางกลับสู่พื้นโลกโดยมีระยะทาง 350 กิโลเมตร และมีกำหนดถึงในเวลา 15.31 น. ตามเวลาในไทย โดยนักบินอากาศที่จะเดินทางกลับมาพร้อมกับยานโซยุซ ได้แก่ ยี โซ ยอน นักบินอวกาศหญิงของเกาหลีใต้ เพกกี วิทสัน นักบินอวกาศสหรัฐฯ และ ยูรี มาเลนเชนโก นักบินอวกาศรัสเซีย
        ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีลี เมียง บัก ของเกาหลีใต้ กล่าวว่า ภารกิจของ ยี โซ ยอน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่โครงการอวกาศของเกาหลีใต้ ซึ่งมีกำหนดปล่อยดาวเทียมจากฐานของตนเองในปลายปีนี้

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

 2004510943



ผู้ตั้งกระทู้ พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ :: วันที่ลงประกาศ 2008-04-20 09:33:09 IP : 124.121.139.16


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2186739)

 

วิตามินเสริมทำให้ "อายุสั้น"

 

ในปัจจุบันวิตามินเสริมเป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลและผู้คนก็นิยมกันแพร่หลาย อย่างไรก็ตามผลการวิจัยล่าสุดนี้อาจทำให้ผู้นิยมรับประทานวิตามินเสริม ซึ่งหมายถึงวิตามินที่ได้รับนอกเหนือจากการรับประทานอาหารตามปกติ อาจจะต้องคิดใหม่

ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก บอกว่าการรับประทานวิตามินเสริมอาจทำให้คนเรา"อายุสั้น"ลงก็เป็นได้ โดยวิตามินเอ อาจเสี่ยงต่อการทำให้ชีวิตสั้นลง 16% เบตาแคโรทีน 7% และวิตามินอี 4%

นอกจากนี้ทีมวิจัยอ้างว่าไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ทำให้เชื่อว่าวิตามินเสริมจะช่วยป้องกันในเบื้องต้น รวมทั้งไม่พบว่าช่วยต่อต้าน***อีกด้วย

ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเหตุใดวิตามินเสริมจึงเสี่ยงต่อการทำให้ชีวิตสั้นลง แต่ผู้วิจัยเชื่อว่าอาจเป็นเพราะวิตามินเหล่านี้ไปขัดขวางแทรกแซงการทำงานของร่างกาย เช่น เบตาแคโรทีน อาจไปเปลี่ยนแปลงวิธีที่ร่างกายใช้ไขมัน

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคนเราควรรับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ก็เพียงพอแล้ว รวมทั้งออกกำลังกาย

แต่นักโภชนาการอื่นๆ รวมทั้งบรรดาองค์กรที่ขายวิตามินเสริม โต้แย้งว่าสำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับวิตามินเพียงพอจากอาหารปกติ การได้รับวิตามินเสริมจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ หากว่าใช้ในอัตราที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารดีๆ และออกกำลังกาย

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2004510945

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-04-20 09:34:51 IP : 124.121.139.16


ความคิดเห็นที่ 2 (2187105)

 

ทานอย่างไรไม่ให้ อ้วน

 


         จริงอยู่ว่าคนเราเกิดมาก็ต้องรับประทาน เหมือนเราเติมน้ำมันเพิ่มพลังให้รถ แต่ทานอย่างไรล่ะคะถึงจะไม่อ้วน อันนี้สิเป็นเรื่องสำคัญ***

         "ให้คิดตามหลักง่ายๆเลยค่ะว่า เราทานเข้าไปเท่าไหร่ ก็ควรจะนำพลังงานออกมาใช้ให้ได้ เท่านั้น ด้วยการออกกำลังกาย ดูอย่างรถยนต์ ถ้าเติมน้ำมันมาก แล้วใช้มาก น้ำมันก็จะหมดเร็ว แต่ถ้าเติมเข้าไปมาก แล้วใช้น้อย น้ำมันจะสะสมอยู่ในถัง" ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการตัวจริง "อาจารย์รุจิรา สัมมะสุต" นักโภชนาการระดับ 10 และอดีตหัวหน้าฝ่ายโภชนาการโรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายให้เห็นภาพที่มาของความตุ้ยนุ้ย

         และถึงแม้การลดน้ำหนัก ด้วยการลดปริมาณอาหาร อาจเป็นเรื่องยากถึงยากที่สุดสำหรับคนเจ้า เนื้อทั้งหลาย แต่นักโภชนาการคนเก่ง ยืนยันว่า หากรู้จักควบคุมตัวเองตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะสามารถควบคุมรูปร่างให้สเลนเดอร์ได้ เช่นกัน โดยเริ่มต้นจากการเรียนรู้ว่าทานอย่างไรให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย หรือถ้าเป็นคนทานเก่งมาก แต่ตัดใจไม่เก่ง ก็ต้องศึกษาว่า ควรเลือกบริโภคอย่างไรไม่ให้ สารอาหารที่ได้รับเกินความต้องการของร่างกาย ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้พลังงานมาก เช่น แป้งและไขมัน แล้วหันมาบริโภคอาหารที่ให้พลังงานน้อย แต่ประโยชน์สูง และมีกากใยมาก เช่น ผักกับผลไม้ ส่วนโปรตีนควรเน้นปลาเป็นหลัก

         สำหรับหนุ่มสาวคนทำงาน ที่วันๆต้องอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แทบไม่มีเวลาออกกำลังกายเป็นเรื่องเป็นราว "อาจารย์ รุจิรา" แอบกระซิบว่า วิธีง่ายๆในการออกกำลังกายระหว่างทำงานคือ เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์, ขณะทำงานให้ทำท่าบริหารร่างกายแบบง่ายๆ เช่น การยืดขาเข้าออก และบิดลำตัวไปมา แม้แต่การเดินไปทานอาหารกลางวันนอกออฟฟิศ ก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ทำให้ได้ยืดเส้นยืดสาย ส่วนประเภทที่มีเวลาหลังเลิกงาน ขอแนะนำให้เต้นแอโรบิก เพราะเป็นการออกกำลังกายที่สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากที่สุด ใช้ เวลาแค่ครั้งละ 40 นาที แต่ได้เอกเซอไซส์ครบทุกส่วน 

         อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านคงชักสงสัยสิคะว่า แล้วตัวเองจัดอยู่ ในกลุ่มคนอ้วนหรือยัง สามารถคำนวณได้ด้วยการวัดดัชนีมวลกาย ตามสูตรนี้เลยค่ะ*** ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร (ยกกำลังสอง) ถ้าผลการคำนวณได้ค่าระหว่าง 18.5-22.9 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าน้อยกว่า 18.5 แสดงว่าผอมเกินไป เข้าขั้นขาดสารอาหาร ส่วนพวกที่ตัวเลขสูงกว่า 23.0-29.9 เป็นสัญญาณเตือนว่าน้ำหนักมากเกินไป และถ้าเกิน 30.0 ละก็ คุณกำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ต้องรีบลุกขึ้นออกกำลังกายด่วนจี๋ ควบคู่กับการคุมอาหาร อย่าห่วงแต่รับประทานเลยค่ะ ถ้าสุขภาพดีซะอย่าง ยังมีเวลาทานของอร่อยอีกนาน***

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2004511034

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-04-20 10:23:35 IP : 124.121.139.16


ความคิดเห็นที่ 3 (2193981)

 

อนาคตผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเท่าตัว...

 

ปัจจุบันในกรุงเทพฯ มีจำนวนผู้สูงอายุอาศัยอยู่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 7-8% จากประชากรทั้งหมดที่มีกว่า 6 ล้านคน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต เนื่องจากทุกวันนี้มีวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น ผู้คนดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น ทำให้ประชากรมีอายุยืนยาว ขึ้น ผนวกกับวิถีชีวิตของคนเมืองหลวงในปัจจุบันที่นิยมมีบุตรน้อย ยิ่งทำให้แนวโน้มการเพิ่มสัดส่วนของผู้สูงอายุจะยิ่งมี เพิ่มขึ้นในอนาคต คาดว่าอีกประมาณ 10-20 ปี สัดส่วนของผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ จะเพิ่มเป็น 15% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทำให้ทุกภาคส่วนต้องเร่งผลักดันนโยบายการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

รัฐบาลในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ จึงมีการ
อนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2525 ให้วันที่ 13 เม.ย. ของทุกปี เป็นวันผู้สูงอายุ และได้เลือก ดอกลำดวนเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ เพื่อให้เด็ก เยาวชน และคนทำงานให้ความสำคัญกับบุพการี ผู้มีพระคุณ  นับแต่นั้นมาหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนก็ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุมากขึ้น

สำหรับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในปีนี้ก็ยังมีโครงการเพื่อผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในเบื้องต้นจะเน้นเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและจิตใจที่สมบูรณ์ โดยมีแนวทางในการดำเนินการ 4 ข้อ ดังนี้

1.การให้บริการแก่ผู้สูงอายุทางด้านสุขภาพที่เท่าเทียมกัน ปรับปรุงการให้บริการของสถานพยาบาลในสังกัด ประกอบด้วย โรงพยาบาลสังกัด กทม. จำนวน 9 แห่ง และศูนย์บริการสาธารณสุข 65 แห่ง ให้สามารถบริการแก่ผู้สูงอายุได้สะดวกรวดเร็ว โดยเปิดช่องทางพิเศษ (Fast Track) สำหรับผู้สูงอายุให้สามารถติดต่อรักษาพยาบาลได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอลำดับทั่วไป ในอนาคตจะขยายโครงการไปยังสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ให้ความสะดวกแก่ผู้สูงอายุที่จะมาติดต่อราชการ

2.จัดสวัสดิการและกิจกรรมที่เหมาะสมให้กับผู้สูงอายุเข้าร่วม เช่น กิจกรรมเนื่องในวันผู้สูงอายุสากล กิจกรรมด้านศาสนา นันทนาการ กิจกรรมเสริมรายได้ ทัศนศึกษา การประกวดผู้สูงอายุสุขภาพดี การแข่งขันกีฬาผู้สูงอายุ กิจกรรมการมีส่วนร่วมเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นต้น ให้ผู้สูงอายุมีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยคลายเหงา และทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น นอก จากนี้ยังมอบเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่เดือดร้อนและขาดผู้อุปการะ ปีละ 6,000 บาทเช่นเดิม โดยในปี 2551 ได้จัดสรรงบประมาณส่วนนี้ 50 ล้านบาท และในปี 2552 จะเพิ่มงบประมาณเป็น 1,200 ล้านบาท รองรับจำนวนผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

3.การส่งเสริมสุขภาพ เน้นการให้ชุมชนเป็นฐานในการตั้งชมรมผู้สูงอายุ สหพันธ์ชมรมผู้สูงอายุ กทม.เพิ่มขึ้นอีกให้ครบทุกชุมชน จากเดิมที่มีอยู่แล้วประมาณ 200 แห่ง เพื่อให้ผู้สูงอายุมีบทบาทในการกำหนดทิศทางในการพัฒนา มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองและส่วนรวม โดยมีสำนักอนามัยเป็นผู้ดูแล ซึ่งในปีนี้ กทม.ได้มีการลงนามข้อตกลงกับสมาคมผู้สูงอายุใน กทม.ทั้งหมด มีสมาชิกประมาณ 20,000 คน เพื่อร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพแก่ผู้สูงอายุ จัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี จัดเครื่องออกกำลังกายไว้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข

และ 4.จัดระบบดูแลสุขภาพผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ โดยการคัดกรองผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อโรค มาให้การแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพ เป็นการทำงานในเชิงรุกใช้วิธีดำเนินการแบบทีมเวิร์ก คือ การประสานกันจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้องของ กทม.และหน่วยงานอื่น เช่น สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักพัฒนาชุมชน ฯลฯ เน้นการทำงานแบบ 4 มิติ คือ การพยาบาลในยามเจ็บป่วย การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและใจ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุได้ดียิ่งขึ้น จัดหน่วยแพทย์เชิงรุก (Home Healt Care) โดยจะมีทีมพยาบาลออกเยี่ยมผู้สูงอายุตามบ้าน เจาะเลือด วัดความดัน ช่วยรักษาพยาบาลกรณีที่ป่วยจนออกจากบ้านไม่ได้ ทั้งนี้จะให้ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 66 แห่งทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ รับตรวจรักษาผู้สูงอายุโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ กทม.ยังมีโครงการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุ โดยคัดเลือกผู้สูงอายุที่มีความสามารถ และเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มาเป็นคลังปัญญาให้กับ กทม. ซึ่งส่วนใหญ่จะเคยรับราชการครู หรือเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านวิชาชีพต่าง ๆ มาก่อน ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุเหล่านั้นได้บริหารสมอง ไม่เหงา และเป็นการเผยแพร่ความรู้และภูมิปัญญาต่าง ๆ สู่คนรุ่นหลังต่อไป


* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2004512005

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-04-20 19:54:09 IP : 124.121.142.161


ความคิดเห็นที่ 4 (2194037)

 

วิธีดูแลรักษาแปรงสีฟัน

แปรงสีฟันที่ใช้กันเป็นประจำ อาจเป็นที่รวมตัวของเชื้อแบคทีเรีย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีดูแลรักษาแปรงสีฟันมาฝากกัน...

วิธีดูแลรักษาแปรงสีฟัน

- อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกัน เพราะการใช้แปรงร่วมกัน โอกาสสัมผัสกับน้ำลาย เลือด ของอีกคนได้ง่ายมาก ๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยตรง
 
- ล้างขนแปรงด้วยน้ำก๊อก หลังจากแปรงฟันเสร็จ เพื่อเอายาสีฟันที่ค้างและสิ่งสกปรกออก แล้ววางให้ตั้งตรง ให้ขนแปรงถูกอากาศพัดให้แห้ง หากมีแปรงหลายอัน ก็อย่าให้ขนแปรงมาชนกันหรือสัมผัสกันเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

- อย่าเก็บแปรงในกล่องปิด เพราะแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้น ๆ แต่ถ้าขนแปรงถูกอากาศ ก็จะไม่เปียก แบคทีเรียไม่ชอบ

- ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก ๆ 3-4 เดือน อย่าใช้แปรงจนขนแปรงบาน เพราะประสิทธิภาพในการขจัดเอาเศษอาหารจะลดลง แถมยังอาจทำร้ายเหงือกอีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้วก็เก็บรักษาแปรงสีฟันให้ดี ๆ เพื่อห่างไกลจากแบคทีเรีย.

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2004512010

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-04-20 19:58:55 IP : 124.121.142.161


ความคิดเห็นที่ 5 (2330066)

 

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11008


ผบ.ทบ.ทำประกันให้ทหาร



เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่กองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธานพิธีลงนามต่อสัญญากรมธรรม์ประกันชีวิตทหาร ร่วมกับนายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ภายใต้กรมธรรม์แบบภัยสงคราม ทั้งนี้ กรมธรรม์ให้ความคุ้มครองนายทหารชั้นสัญญาบัตร ทุนประกัน 1,000,000 บาท นายทหารชั้นประทวน ทุนประกัน 500,000 บาท พลทหารประจำการ พลอาสาพิเศษอาสาสมัครทหารพราน อาสาสมัครทหารพราน ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และพนักงานราชการ ทุนประกัน 300,000 บาท โดยสัญญากรมธรรม์จะมีการต่ออายุปีต่อปี

 

 

·        * * * * * * * * * * * *  * * * * * *

 

 

 

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11008


สธ.ออก"สิทธิผู้พิการ"เพิ่มประโยชน์เทียมคนปกติ



เมื่อวันที่ 29 เมษายน นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการจัดทำประกาศกระทรวงสาธารณสุข ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้แทน พ.ร.บ.การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534 ที่ใช้มานานกว่า 15 ปี โดยจะกำหนดแนวทางและปรับปรุงวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมากกว่าการสงเคราะห์ และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองคนพิการ เพื่อมิให้เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ประเมินความพิการและจัดกิจกรรมช่วยเหลือที่เหมาะสมกับข้อจำกัดจากความพิการ และพัฒนาสิทธิประโยชน์ครอบคลุมทั้งสิทธิทางการแพทย์ การจ้างงาน และสังคม

นายไชยากล่าวว่า ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขจะครอบคลุมเรื่องการจัดประเภทคนพิการ หลักเกณฑ์วินิจฉัยความพิการ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการฟื้นฟู และเงื่อนไขการรับบริการทางการแพทย์อย่างเท่าเทียมกัน และจะเปิดเวทีระดมความคิดเห็นผู้พิการทั่วประเทศด้วย เนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ของคนพิการที่ใช้เดิม ได้แก่ ประกันสังคม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสวัสดิการข้าราชการ ยังไม่เท่าเทียมกัน ทั้งด้านกระบวนการทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และสื่อส่งเสริมพัฒนาการต่างๆ

"จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2550 พบอัตราคนพิการร้อยละ 2.9 หรือประมาณ 1.8 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ที่มีเพียงร้อยละ 1.8 โดยมากที่สุด เป็นความพิการประเภทกายและการเคลื่อนไหว มีร้อยละ 47 รองลงมาคือ การได้ยิน ร้อยละ 22 แต่ในจำนวนนี้ได้รับการตรวจประเมินสภาพและขึ้นทะเบียนฟื้นฟูแล้ว 738,143 คน เหลือผู้พิการที่ยังไม่เข้าถึงบริการประมาณ 1 ล้านคน" นายไชยากล่าว

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

3004511833

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-04-30 18:22:08 IP : 124.121.137.5


ความคิดเห็นที่ 6 (2345412)

 

สำหรับรายละเอียดของ พ.ร.บ.ธง พ.ศ.2522 มีรายละเอียดดังนี้
       

       
มาตรา 5 ธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยและชาติไทย ได้แก่
       
       (1)
ธงชาติ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 6 ส่วน ยาว 9 ส่วน ด้านกว้างแบ่งเป็น 5 แถบตลอดความยาวของผืนธง ตรงกลางเป็นแถบสีน้ำเงินแก่กว้าง 2 ส่วน ต่อจากแถบสีน้ำเงินแก่ออกไปทั้งสองข้างเป็นแถบสีขาวกว้างข้างละ 1 ส่วน ต่อจากแถบสีขาวออกไปทั้งสองข้างเป็นแถบสีแดงกว้างข้างละ 1 ส่วน ธงชาตินี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธงไตรรงค์
       
       
มาตรา 53 ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อธงตามมาตรา 5 หรือมาตรา 6 ดังต่อไปนี้
       
       (1)
ประดิษฐ์รูป ตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นใดในผืนธง รูปจำลองของธง หรือในแถบสีธง นอกจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น
       (2)
ใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงอันมีลักษณะตาม (1)
       (3)
ใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงไว้ ณ ที่หรือโดยวิธีอันไม่สมควร
       (4)
ประดิษฐ์ธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงไว้ ณ ที่หรือสิ่งใด ๆ โดยไม่สมควร
       (5)
แสดงหรือใช้สิ่งใดๆ ที่มีรูปธง รูปจำลองของธง หรือมีแถบสีธงอันมีลักษณะตาม (4) โดยไม่สมควรต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

/ / / / / / / / / / / / / /

1 พฤษภาคม 2551

กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนภัยเรื่องพายุไซโคลนนาร์กิส  ( Nargis )ที่มีศูนย์กลาง อยู่ทางทิศตะวันตกห่างประมาณ 750 กิโลเมตรจากกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่าคาดว่า จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งของประเทศพม่าประมาณวันที่ 2 พฤษภาคม 2551 ประกอบกับความกดอากาศต่ำกำลังแรงยังคงปกคลุม ด้านตะวันตกของภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย ลักษณะดังกล่าวทำให้ภาคเหนือ และภาคกลางยังมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2551 นี้ ส่วนกทม.จะได้รับผลกระทบเฉพาะปลายหางไซโคลนเท่านั้น

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

0105512058

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-01 20:46:44 IP : 124.121.142.120


ความคิดเห็นที่ 7 (2406332)

 

ยางยักษ์เมืองจันท์...ต้นใหญ่ที่สุดในไทย

จันทบุรี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดอันอุดมสมบูรณ์ของเมืองไทย ดินฟ้าอากาศเอื้ออำนวยต่อการปลูกผลไม้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะ ทุเรียน เงาะ มังคุด และพืชผลเศรษฐกิจอื่นๆ รวมไปถึงยางพารา ซึ่งปัจจุบันเมืองจันท์มีเนื้อที่ปลูกยางพาราอยู่ราว 3.6 แสนไร่ มีรายได้เข้าจังหวัดไม่ต่ำกว่าปีละ 5 พันล้านบาท
       
       
ส่วนที่หลายๆคนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับยางพาราในเมืองจันท์ก็คือ ที่นี่มีต้นยางพาราที่สำรวจพบ ณ ปัจจุบันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยู่ สำหรับต้นยางต้นนี้ปลูกอยู่ในสวนยางของหลวงราชไมตรี(สวนกอง) ที่ตั้งอยู่ใน ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี
       
       
หลวงราชไมตรีหรือ ปูม ปุณศรี เป็นบุตรของหลวงประมวลราชทรัพย์ (จีนจำปา) และนางเปี่ยม มีพี่น้องร่วมท้อง 3 คนด้วยกัน หลวงราชไมตรีศึกษาในโรงเรียนวัดแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงศึกษาต่อที่ปีนัง มีความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ท่านสมรสกับนางสาวฟอม สาณะเสน มีบุตรด้วยกัน 3 คน
       
       
หลวงราชไมตรีท่านนี้เป็นบุคคลแรกที่ริเริ่มนำยางพาราเข้ามาปลูกในจังหวัดจันทบุรี โดยในปี พ.ศ. 2451 หลวงราชไมตรีได้เดินทางไปจังหวัดภูเก็ต แล้วเกิดความคิดที่จะนำยางพารามาปลูกในสวนของตนที่จันทบุรี
       
       
ท่านจึงสั่งต้นพันธุ์ยางมาจากมลายูจำนวน 2 ลัง เพื่อปลูกในสวนราชไมตรีของตนเองที่แม้สมัยนั้นจะมีที่ดินเพียงร้อยกว่าไร่ แต่ด้วยความที่มีสภาพรกทึบเต็มไปด้วยลูกไม้นานาพันธุ์ หากใช้คนถางป่าคงจะถางไม่ไหว ต้องเสียเวลานานและเสียค่าใช่จ่ายมาก หลวงราชไมตรีจึงใช้วิธีขี่ม้าตาบอดข้างหนึ่ง ยิงหนังสติ๊กแล้วใช้ลูกยางเป็นกระสุนเป็นวิธีที่ประหยัดและใช้คนงานเพียงคนเดียวที่คอยแบกกระสอบเดินตามม้า นับเป็นวิธีการปลูกยางที่เข้าท่าไม่น้อยเลย
       
       
ปัจจุบันสวนยางของหลวงราชไมตรีมีอายุ 100 ปีพอดี ทางจังหวัดจันทบุรีจึงจัดงานวัน 100 ปี ยางพารา เบิกฟ้าตะวันออก และวันยางพาราแห่งชาติ ประจำปี 2551 ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นสำคัญของยางพาราและ เพื่อเชิดชูเกียรติและรำลึกถึงหลวงราชไมตรี ในวันที่ 10 เมษายน เมื่อวันที่ 9,10 เม.ย. ที่ผ่านมา ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี
       
       
สำหรับต้นยางพาราชุดแรกในสวนหลวงราชไมตรีแม้จะเหลืออยู่เพียงไม่กี่ต้น แต่หนึ่งในนั้นก็คือ ต้นยางที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ยางต้นนี้มีเส้นรอบวง 7 เมตร หรือสี่คนโอบ
       
       
ตามคำบอกเล่าต่อๆกันมาของชาวบ้านที่นี่ เชื่อว่าหากผู้ใดคิดกีดยางจากต้นยางต้นนี้ จะต้องมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับผู้นั้นเสมอทำให้ยางพาราต้นนี้จึงไม่เคยผ่านการกรีดมาเลย
       
       
ทำให้เกิดการอนุรักษ์ยางพารากลุ่มนี้ขึ้นมาในภายหลัง จนถือเป็นสวนยางพาราประวัติศาสตร์แห่งเมืองจันท์ ที่มีความเป็นสวนกึ่งป่ายางธรรมชาติ มีไผ่ และพรรณไม้หลากหลายขึ้นแทรกปะปนแน่นทึบพอสมควร ส่วนบริเวณหน้าสวนก็มีอนุสาวรีย์ของหลวงราชไมตรีตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งปัจจุบันทางจังหวัดได้จัดให้ต้นยางใหญ่ที่สุดในไทยและสวนยางของหลวงราชไมตรีเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด เคียงคู่ไปกับ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างน้ำตกพลิ้ว(อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว)น้ำตกใหญ่อันร่มรื่นสวยงาม ที่มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี ที่อยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไหร่

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

 

ไอซีทีจ้างม.ศรีปทุมติวพ.ร.บ.คอมพ์ประชาชน

       ไอซีทีจ้างม.ศรีปทุม 1.8 ล้านบาททำโครงการไอซีที เพื่อป้องปรามภัยทางอินเทอร์เน็ต ตระเวนจัดอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบการและประชาชน เกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ใน 5 จังหวัด หลังมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 18 ก.ค. 50 แต่คนยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
       
       นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า จะเริ่มจัดอบรมให้ความรู้ในโครงการ ICT สัญจร เพื่อป้องปรามภัยทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการทั่วภูมิภาค เกี่ยวกับพระราช บัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 หลังจากที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.2550 ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการนี้ใช้งบประมาณการจัดอบรม 1.8 ล้านบาท โดยจะจัดอบรมใน 5 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี ชลบุรี
       
       โดยโครงการICT สัญจร เพื่อป้องปรามภัยทางอินเทอร์เน็ตนั้นได้มหาวิทยาลัยศรีปทุมเป็นผู้ชนะการประมูลเข้ามาให้การบริหารจัดการและดำเนินโครงการ  ซึ่งโครงการนี้มีผู้เข้าร่วมการประมูลจำนวน 3 ราย  แต่สาเหตุที่เลือกมหาวิทยาลัยศรีปทุมเนื่องจากมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้ความรู้เกี่ยวกับโครงการนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศซึ่งสามารถกระจายความรู้ออกไปได้ในวงกว้าง
       
       
สาเหตุที่เราต้องหาสถาบันศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษาเข้ามาช่วยบริหารจัดการโครงการนี้เป็นเพราะกระทรวงไอซีที ไม่มีบุคลากรมากพอที่จะไปจัดอบรมให้ความรู้ด้วยตัวเอง เพราะกระทรวงมีข้าราชการอยู่เพียง 260 คนเท่านั้นนายสือกล่าว
       
       อย่างไรก็ดี กลุ่มเป้าหมายการให้ความรู้ในโครงการ ICT สัญจร เพื่อป้องปรามภัยทางอินเทอร์เน็ต คือกลุ่มผู้ประกอบการตั้งแต่ขนาดกลางไปจนถึงขนาดเล็ก และบุคคลทั่วไปที่สนใจ แต่หากกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ไม่สามารถเข้าร่วมการอบรมได้ก็สามารถเข้ามาหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโครงการต่างๆได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงไอซีทีได้ www.mict.go.th
       
       นายสือกล่าวต่อว่า สำหรับโครงการนี้จะจัดหมุนเวียนไปตามจังหวัดต่างๆได้แก่กรุงเทพ จัดที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม 14 พ.ค.51 กาญจนบุรีจัดที่โรงแรมริเวอร์แคว 21 พ.ค.51 พิษณุโลกจัดที่โรงแรมไพลิน 4 มิ.ย. 51 สุราษฎร์ธานี จัดที่โรงแรมวังใต้ 18 มิ.ย.51และชลบุรี ที่โรงแรมซิกม่า รีสอร์ทคลับ พัทยา วันที่ 2 ก.ค.51 โดยหัวข้อการอบรมประกอบด้วย ความหมายและผลกระทบของพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ต่อผู้ให้บริการ ,การจัดเก็บข้อมูลทางคอมพิวเตอร์สำหรับการให้บริการ,หลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลทางคอมพิวเตอร์สำหรับการให้บริการ และการร่วมมือประสานงานกับเจ้าหน้าที่กำกับดูแลพ.ร.บ.ในการป้องปรามผู้กระทำผิด
       
       นอกจากนี้กระทรวงไอซีทียังมีโครงการไอซีที เฮาส์คีปเปอร์ ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อจัดทำโปรแกรมดังกล่าวแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อจำกัดการเข้าถึงสื่อผ่านอินเทอร์เน็ตให้แก่ประชาชน โดยกระทรวงไอซีทีเชื่อว่าการประสานโครงการทั้ง 2 เข้าด้วยกันจะช่วยป้องปรามภัยอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี

 

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

0505511959

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-05 19:47:56 IP : 124.121.140.29


ความคิดเห็นที่ 8 (2448552)

 

วันพืชมงคล

พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีสิริมงคล เพื่อบำรุงขวัญเกษตกรไทยและเตือนให้เริ่มเพาะปลูกพืชผลโดยเฉพาะการทำนา ซึ่งเป็นธัญญาหารหลักสำคัญยิ่งของการดำรงชีวิตคนไทย

พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญของไทย มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และสืบต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชพิธีนี้ในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 เป็นพิธีพรามหณ์ไม่มีพิธีสงฆ์ประกอบ

ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชดำริโปรดให้มีพิธีสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาร่วมประกอบในพิธีด้วย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์ธัญญาหารที่นำเข้ามาในมณฑลพิธี แล้วจึงนำไปไถหว่านในการแรกนาขวัญ เรียกพระราชพิธีในตอนนี้ว่า พืชมงคลเมื่อรวม 2 พิธีแล้วเรียกว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นราชประเพณีสืบมา โดยจัดเป็น 2 วัน วันแรกเป็นพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ วันรุ่งขึ้น เป็นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีพรามหณ์

 

พระยาแรกนา

ในสมัยก่อน พระมหากษัตริย์จะต้องประกอบพระราชกรณียกิจ เป็นผู้นำในการลงมือไถ หว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นตัวอย่าง แต่ต่อมาได้มีพรามหณ์เป็นผู้แนะนำประกอบพิธีตามลัทธิไสยศาสตร์ พระมหากษัตริย์จึงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ ให้ทำหน้าที่ไถ หว่านพืชพันธุ์ธัญญาหารแทนพระองค์ เรียกว่า พระยาแรกนาส่วนพระมเหสีหรือชายาที่เคยร่วมการไถ่หว่าน เปลี่ยนเป็นท้าวนางในพระราชสำนักออกทำหน้าที่หาบกระบุงพันธุ์พืช ช่วยพระยาแรกนา เรียกว่า เทพี

ในปัจจุบัน พระยาแรกนา ได้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพี คัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

พระโค

เป็นโคที่ใช้ไถในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หลังจากที่เสร็จการไถหว่านแล้ว จะนำพระโคทั้งคู่มายืนตรงหน้าพลับพลาที่ประทับ พรามหณ์จะนำถาดกระทงบรรจุของเลี้ยงพระโค เพื่อเป็นการเสี่ยงทาย ถาดละ 7 สิ่ง คือ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำและหญ้า พระโคกินอะไร โหรหลวงจะเป็นผู้ทำนายว่าปีนี้ พืชพันธุ์ธัญญาหารใดจะอุดมสมบูรณ์ หรือไม่

0805512122

 

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-08 21:10:59 IP : 124.121.136.184


ความคิดเห็นที่ 9 (2528769)

 

หลายเทคนิคเลี่ยงถูกจับ ไม่ใช่แค่

"ไม่ถือ"...... แล้วจะไม่ผิด

 

จากที่กฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับรถที่มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา หลายคนยังคงสงสัยติดใจว่าแบบไหนเรียกว่าโทรฯขณะขับรถ แม้จะมีกฎหมายนี้ออกมาใช้กว่า 40 ประเทศทั่วโลก แต่สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่หลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจกันนัก เพราะคนใช้รถใช้ถนนในปัจจุบันมีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ที่หลากหลายและแตกต่างกัน ซึ่งบางคนอาจยังเข้าใจว่าบางอย่างสามารถทำได้ไม่ถูกจับ
 
กฎหมายดังกล่าว ได้ระบุข้อความ เพิ่มข้อห้ามสำหรับการขับรถ ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 43 ว่าห้ามขับรถในขณะที่ใช้     โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น และมีโทษปรับตามมาตรา 157 ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท ซึ่งหากพิจารณาตามข้อกฎหมายแล้ว มีเรื่องที่จะต้องพิจารณาว่าเข้าข่ายการกระทำผิดในข้อหานี้ใน 4 ประเด็นด้วยกัน คือ ประเด็นแรก
  
1.การใช้โทรศัพท์ ในการตีความพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือตามกฎหมายนี้ จะครอบคลุมทั้งการสนทนา กดหมายเลขเพื่อโทรฯออก กดรับโทรศัพท์ ฟังเพลง เล่นเกม ดูข้อความ รับ-ส่งข้อความ พิมพ์ข้อความ ดูภาพ ถือเป็นการใช้โทรศัพท์ทั้งสิ้น ซึ่งครอบคลุมการใช้งานโทรศัพท์ในทุก ๆ  กิจกรรมที่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถทำงานได้
  
 2.การใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ คือเป็นการใช้โทรศัพท์ตามพฤติกรรมในข้อ 1.ในขณะที่ผู้ขับขี่อยู่หลังพวงมาลัยรถ และรถติดเครื่องอยู่ โดยผู้ขับขี่อยู่ในสภาพที่พร้อมควบคุมและบังคับรถให้เคลื่อนที่ ถือเป็นการขับรถ ดังนั้นแม้รถจะหยุดอยู่ที่ทางแยก หรือรถติดหยุดนิ่ง ก็ถือว่าอยู่ในภาวะขับรถ แม้รถจอดติดไฟแดง รถติดหยุดนิ่งบนถนนก็ถือเป็นการกระทำในขณะขับรถทั้งสิ้น
  
3.การใช้โทรศัพท์โดยถือหรือจับ การที่ผู้ขับขี่จะทำผิดตามข้อหา  นี้มีประเด็นที่สำคัญคือ ผู้ขับขี่จะต้องถือหรือจับโทรศัพท์ในขณะขับรถ จึงถือเป็นความผิด หากเพียงแต่เปิดลำโพง (สปีคเกอร์ โฟน) แล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้าง ๆ ขณะสนทนา หรือเปิดเพลงจากลำโพง แล้ววางโทรศัพท์ไว้ โดยไม่ได้ถือหรือจับโทรศัพท์ ก็ไม่ถือว่าครบองค์ประกอบในการทำผิดตาม  ข้อหานี้
  
4. คือ กฎหมายยกเว้นเฉพาะการใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา การให้ความหมายของคำว่าอุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา ปัจจุบันมีการใช้อย่างแพร่หลาย คือ แฮนด์ฟรี ชนิดเป็นสายยาวและมีไมค์เล็ก ๆ สำหรับการสนทนา หรืออุปกรณ์บลูทูธ  หูฟังสำหรับการสนทนา ซึ่งในเรื่องนี้ตำรวจแนะนำว่า การใช้แฮนด์ฟรี ควรใช้แบบเสียบหูข้างเดียว เพื่อให้สามารถฟังเสียงสภาพแวดล้อมบนถนนในขณะขับรถด้วย เช่น เสียงแตร เสียงสัญญาณรถกู้ภัย ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งผู้ขับขี่   จำเป็นต้องทราบสภาพแวดล้อมในการขับขี่เพื่อจะได้ขับรถได้อย่างถูกต้องปลอดภัย
  
 ดังนั้นข้อโต้แย้ง กรณีที่จะให้ผู้ที่นั่งข้าง ๆ กดหมายเลขโทรศัพท์ให้ และยื่นโทรศัพท์แนบหูคนขับในขณะขับรถ ก็ถือว่าไม่ใช่ลักษณะของการใช้อุปกรณ์เสริมที่จะเข้าเกณฑ์ยกเว้นตามกฎหมายนี้ หรือการที่ผู้ขับรถใช้ศีรษะแนบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ ก็ไม่ถือเป็นการใช้อุปกรณ์เสริมด้วยเช่นกัน รวมทั้งกรณีของผู้ที่ขี่รถจักรยานยนต์ที่เอาโทรศัพท์สอดไว้ระหว่างหูกับหมวกกันน็อก ก็ไม่ถือเป็นอุปกรณ์เสริมที่จะได้รับการยกเว้น หากทำพฤติกรรมดังนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับกุมได้ถือว่าทำผิดกฎหมาย
  
การที่จะทำผิดตามข้อหานี้ จะต้องครบองค์ประกอบทั้ง 3 ข้อคือ ใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ และจับหรือถือโทรศัพท์นั้น โดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา ก็ถือเป็นความผิดมีสิทธิโดนใบสั่ง ต้องเสียค่าปรับ ตั้งแต่ 400-1,000 บาท ต่อการกระทำความผิดแต่ละครั้ง
  
 พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดูแลงานจราจร กล่าวว่า ยังมีประชาชนที่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้อีกหลายกรณี เช่น หากใช้โทรศัพท์โทรฯแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายจะผิดหรือไม่ ซึ่งหากตีความตามกฎหมายที่ประกาศใช้นี้ไม่ถือเป็นข้อยกเว้นเนื่องจากกฎหมายไม่ได้ระบุไว้ แต่หากจะเทียบเคียงกับกฎหมายในประเทศอังกฤษ ได้ระบุถึงการแจ้งเหตุที่จะเข้าข่ายยกเว้นก็ต่อเมื่อเป็นการโทรฯแจ้งเหตุที่เกิดกับตัวผู้ขับเองในขณะที่ตกอยู่ในภาวะอันตรายซึ่งไม่สามารถจอดรถได้ในขณะนั้น ซึ่งต้องเป็นเหตุด่วนเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวคนขับ ไม่ใช่พบเห็นรถอื่นเกิดอุบัติเหตุแล้วโทรฯแจ้ง หรือโทรฯแจ้งป้ายล้ม ไฟดับ น้ำท่วม แบบนี้จะไม่เข้าข่ายยกเว้น แต่ในข้อหานี้การบังคับใช้ของเจ้าหน้าที่ก็สามารถใช้ดุลพินิจในการว่ากล่าวตักเตือนได้ นอกจากนี้ยังมีคนสอบถามมาว่าถ้าใช้วิทยุในรถ เช่น รถกู้ภัย รถแท็กซี่ จะถือว่าเป็นการใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถด้วยหรือไม่นั้น การใช้วิทยุสื่อสาร ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ วิทยุเป็นเครื่องมือสนทนาที่ผู้พูดและผู้ฟังจะต้องคุยกันคนละช่วงเวลา ไม่สามารถสื่อสารโต้ตอบกันในเวลาเดียวเหมือนเช่นโทรศัพท์มือถือ การใช้วิทยุจึงไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมายนี้
  
 อย่างไรก็ตามอยากให้ประชาชนทำความเข้าใจกับกฎหมาย ไม่อยากให้มองว่าเรื่องนี้เป็นการจ้องจับผิดผู้ที่ใช้โทรศัพท์ แต่อยากให้ตระหนักถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากการเสียสมาธิในการขับรถ เกิดความเสียหายต่อผู้ที่ขับขี่ ผู้โดยสารมาด้วยและผู้ร่วมทาง คนใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ ที่ต้องเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุไปด้วย ซึ่งการจับกุมของเจ้าหน้าที่ก็ใช้วิธีการจับแบบที่มองเห็นการทำผิดซึ่งหน้า เหมือนกับการจับกุมผู้ขับรถฝ่าไฟแดง และหากไม่ยอมรับผิดยังมี   ข้อโต้แย้งถกเถียง ก็ให้นำตัวผู้กระทำผิดไปพบพนักงานสอบสวน ซึ่งการทำผิดในข้อหานี้เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ไม่ยาก เพราะมีหลักฐานการโทรฯ ที่เช็กได้ทั้งจากโทรศัพท์และซิมการ์ด
  
ในเรื่องนี้ยังคงมีปัญหาและข้อสงสัยในกรณีต่าง ๆ อีกมาก เพราะเทคโนโลยีพัฒนาก้าวไกลไปทุกวัน ...แต่สิ่งสำคัญ ก็คือทำอย่างไรให้การขับรถเกิดความปลอดภัยที่สุด แม้จะรู้ แม้จะขับกันจนชินแล้ว แต่ทุกคนก็ยังมีโอกาสประสบอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ ...ป้องกันไว้ก่อนเป็นหนทางที่ดีที่สุด ทั้งเพื่อตัวเองและคนส่วนรวม.

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

 1205511253

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-12 12:41:58 IP : 124.121.135.122


ความคิดเห็นที่ 10 (2554758)

 

เรื่อง กระบอกสุญญากาศไม่ช่วย ใช้งานไม่ได้ 12 พฤษภาคม 2551

 

สธ.เตือนระวังอันตราย กระบอกสุญญากาศอย่าเชื่อสามารถเพิ่มขนาด เพิ่มความยาวอวัยวะเพศชาย หรือเพิ่มพลังเพศ ชี้ที่จริงเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยให้องคชาติแข็งตัว หากใช้ผิดวิธีอาจทำให้อวัยวะขาดเลือดจนใช้การไม่ได้อีก แนะวิธีแก้ปัญหาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เพียงดูแลรักษาสุขภาพกายและสุขภาพใจให้แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 

       นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายว่าในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีการพยายามแสวงหาวิธีในการแก้ไขปัญหาที่จะช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัว และสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางเพศได้เหมือนกับผู้ชายปกติ จึงมีการจำหน่ายอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง คือ กระบอกสุญญากาศ ออกวางจำหน่ายตามท้องตลาดและสื่อต่างๆ ได้แก่ นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ เป็นต้น โดยโฆษณาอวดอ้างว่าสามารถเพิ่มขนาดและยืดความยาวของอวัยวะเพศชายภายใน 1 เดือน ทำให้แข็งแรง ทนทานต่อการบีบรัดและเสียดสีได้มากยิ่งขึ้น ช่วยทำให้เกิดการหลั่งที่ช้าลง และแก้ปัญหาการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กระบอกสุญญากาศเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยให้องคชาติ แข็งตัว โดยการสร้างสุญญากาศรอบองคชาติและดึงเลือดมาสู่องคชาติทำให้พองโตขยายตัวขึ้นเท่านั้น
       
       
       นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล กล่าวต่อว่า สำหรับการใช้กระบอกสุญญากาศก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้ ดังนั้น ก่อนการตัดสินใจใช้ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อน สำหรับการใช้งานให้ใช้ได้ครั้งละไม่เกิน 30 นาที หากใช้เกินเวลาที่กำหนดจะทำให้อวัยวะขาดเลือดและสูญเสียหน้าที่อย่างถาวรได้ ทั้งนี้ ห้ามใช้อุปกรณ์ ดังกล่าวเมื่อมีการใช้ยาหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากการใช้เครื่องมือนั้นๆ ได้ และข้อควรระวัง คือ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บบวมภายในอวัยวะเพศหรือถุงอัณฑะ ไส้เลื่อน หรือเกิดเม็ดเลือดแดงแตกได้
       
       
นพ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเสริมว่า สาเหตุของอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เกิดได้จาก 2 สาเหตุ คือ สาเหตุทางกาย ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น อีกสาเหตุหนึ่งคือสาเหตุทางจิตใจ ได้แก่ ความเครียด ความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด ความซึมเศร้า เป็นต้น นอกจากนี้ สาเหตุที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือ การสูบบุหรี่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดดำและแดง และการมีฮอร์โมนผิดปกติ เช่น มีฮอร์โมนเพศชายไม่เพียงพอ
       
       “วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ คือ การบำรุงรักษาสุขภาพให้ดีทั้งกายและจิตใจ โดยการเลือกรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มที่ก่อให้เกิดโทษกับร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งอาหารที่รับประทานและจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว อย่างไรก็ตาม อย.ได้มีการติดตามตรวจสอบเครื่องมือแพทย์ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงอยู่เสมอ ซึ่งหากพบ อย.จะดำเนินการตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ฉบับใหม่คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเลขาธิการ อย.กล่าว

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1305510911

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-13 08:59:51 IP : 124.121.136.162


ความคิดเห็นที่ 11 (2597660)

 

ลดสารก่อมะเร็งในอาหารปิ้งย่าง

เนื้อย่าง ไก่ย่าง หมูปิ้ง อาหารปิ้งย่างทั้งหลายนั้นล้วนแต่เป็นอาหารแสนอร่อยที่หลายๆคนชอบกิน   แต่ก็รู้ดีว่าอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียมเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในร่างกาย เพราะมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่าสารโพล่า ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในน้ำมันใช้ซ้ำ
       
       
สารโพล่าหรือสารก่อมะเร็งนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อเรานำเนื้อไปปิ้งหรือย่าง แล้วไขมันจากเนื้อนั้นหยดลงไปถูกถ่านไฟที่ร้อนจัด เมื่อไขมันโดนถ่านไฟที่มีอุณหภูมิสูงก็จะเกิดเป็นควันซึ่งมีสารก่อมะเร็ง และควันที่เกิดขึ้นนั้นก็จะพาสารก่อมะเร็งลอยกลับมาที่เนื้อชิ้นนั้นอีก และหากเรากินเข้าไปสะสมในร่างกายเรื่อยๆ ก็อาจกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
       
       
แต่ก็ยังมีวิธีปิ้งหรือย่างที่อาจช่วยลดสารก่อมะเร็งได้ ด้วยปิ้งหรือย่างอาหารด้วยไฟอ่อนๆ หรืออาจลดเวลาในการปิ้งหรือย่างด้วยการทำให้เนื้อสุกด้วยการอบเสียก่อนแล้วจึงค่อยเอาไปปิ้งย่าง หรือหาวิธีปิ้งย่างไม่ให้เนื้อไหม้โดยตรงและป้องกันไม่ให้ไขมันหยดลงไปโดนถ่าน ก็จะช่วยลดสารก่อมะเร็งได้

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

1405511834

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-14 18:22:37 IP : 124.121.143.207


ความคิดเห็นที่ 12 (2687022)

 

ผู้หญิงเป็นผู้จัดการที่เก่งกว่า



ผลการศึกษาล่าสุดชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ชายเกือบทุกแง่มุมในการบริหารจัดการธุรกิจ โดยมีเพียง 2 หัวข้อเท่านั้นที่ผู้ชายทำได้ดีกว่า

ผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ ปีเตอร์ เบอร์รี คอนซัลแทนซี ได้รวบรวมข้อมูลจากประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) และผู้จัดการธุรกิจของออสเตรเลียทั้งผู้ชายและผู้หญิงมากกว่า 1,800 ราย พบว่า ผู้หญิงทำคะแนนได้ดีกว่าผู้ชายในหัวข้อสำคัญๆ หลายหัวข้อ เช่น การขับเคลื่อนผลักดันยุทธศาสตร์ การจัดการความเสี่ยง การบริหารจัดการคน ความเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวม และความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ

ในด้านความมั่นคงทางอารมณ์นั้น ผู้หญิงกับผู้ชายทำคะแนนได้ดีเท่ากัน ขณะที่หัวข้อที่ผู้ชายทำคะแนนได้ดีกว่าผู้หญิง 2 หัวข้อนั้นคือ การควบคุมสั่งการการปฏิบัติการ และการทำผลประโยชน์ตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งผลวิจัยนี้ระบุว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายมีความสามารถมากกว่าในด้านการปฏิบัติภารกิจที่เน้นเป้าหมายเฉพาะ และสามารถบรรลุผลสำเร็จของงานได้โดยมักจะไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ขณะที่สะท้อนให้เห็นว่า ผู้หญิงมีความสามารถในการมองข้ามไปไกลกว่ากระบวนการปฏิบัติการด้านการจัดการและการคำนึงถึงผลประโยชน์และให้ความสำคัญกับองค์ประกอบและปัจจัยแวดล้อมโดยรวมของธุรกิจ

จิลเลียน โอมารา ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไปของโครงการพัฒนาบุคลากรระดับผู้นำ สเต็ปส์ กล่าวว่า คงมีหลายคนที่คิดอยู่แล้วว่า ผู้หญิงนั้นเก่งกว่าผู้ชายในด้านการบริหารจัดการคนรวมถึงทักษะบางอย่างที่ต้องใช้ความนุ่มนวลมากกว่า แต่ผลที่ปรากฏออกมาว่า ผู้หญิงยังเก่งกว่าทั้งในด้านการขับเคลื่อนผลักดันยุทธศาสตร์ การจัดการความเสี่ยงและความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นั้นน่าจะทำให้หลายๆ คนแปลกใจ

การวิจัยดังกล่าวใช้ ระบบการประเมินผลแบบโฮแกน (Hogan Assessment System-HAS) ซึ่งเป็นการทดสอบประเมินผลด้านบุ***ภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือองค์กรธุรกิจในการคัดเลือกบุคลากรและพัฒนาบุคลากรระดับผู้นำ

ผลการวิจัยนี้จะนำเสนอในที่ประชุมสัมมนาเรื่อง ผู้หญิงและความเป็นผู้นำร่วมสมัยที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ปลายเดือนพฤษภาคมนี้



* * * * * * * * * *

 

หลอดเลือดสมอง

รีช รีจิสทรี (REACH Registry) นำเสนอข้อมูลใหม่จากการศึกษาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ต่อที่ประชุมโรคหลอดเลือดสมองอุดตันแห่งยุโรป (E***pean Stroke Conference 2008) โดยระบุว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) จำนวนมาก (ราว 73%) จะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (Nonstroke cardiovascular events) มากกว่าจากโรคหลอดเลือดสมองโดยตรง โดยอัตราการเสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ 4.45% และ 3.23% เสียชีวิตจากอาการที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดสมอง

ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่เคยมีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง และ/หรือเกิดอาการขาดเลือดไปเลี้ยงสมองชั่วขณะ (TIA) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการดังกล่าวซ้ำอีกครั้ง (รวมทั้งอาจเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจด้วย)

นอกจากนั้นแล้ว 1 ใน 4 ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (CAD), 2 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ (CVD) และ 3 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (PAD) จะมีอาการเส้นเลือดใหญ่ในสมองตีบ (Atherothrombosis) ร่วมด้วย ดังนั้น รีช รีจิสทรี จึงให้ความสำคัญกับการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ รวมถึงจัดการความเสี่ยงจากอาการขาดเลือด (Ischemic risk management) ในผู้ป่วย เพื่อลดความรุนแรงของอาการและลดอัตราการเสียชีวิต

ราว 28% ของผู้ป่วยของรีช รีจิสทรี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบทั่วไป โดยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบราว 40% จะเป็นโรคหลอดเลือดหลายส่วน (Polyvascular disease) ควบคู่ไปด้วย และในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบทั่วไป 71% เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง, 51% เคยเกิดอาการขาดเลือดไปเลี้ยงสมองชั่วขณะ และ 20% เคยเป็นทั้งสองอย่าง

ศจ.ดร.โจอาคิม โรเธอร์ จากแผนกประสาทวิทยา โรงพยาบาลมินเดน แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮันโนเวอร์ ในเมืองมินเดน ประเทศเยอรมนี ระบุว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองและอาการเส้นเลือดใหญ่ในสมองตีบซ้ำอีกครั้ง และโรคหลอดเลือดสมองมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจด้วย

1705511523

 

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-17 15:11:12 IP : 124.121.135.203


ความคิดเห็นที่ 13 (2756989)

 

การเรียนรู้พุทธศาสนา
" วันวิสาขบูชา " .

วันวิสาขบูชา คือวันอะไร "เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้าครับ" ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ.. (เป็นคำชี้ถูกของคุณพี่ปัญญา นิรันดร์กุล พิธีกรรายการเกมทศกัญฐ์ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก)

พระพุทธเจ้าทรงจุติในโลกมนุษย์เมื่อ 2631 ปี ณ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธกาล เมื่อประสูติแล้ว ทรงพระนามว่า "สิทธัตถะ" มีพราหมณ์ฝ่ายหนึ่งทำนายว่าเป็นลักษณะของมหาบุรุษ

หากเจริญเติบโตทางโลกจะได้เป็นถึงจักรพรรดิ หากฝักใฝ่ในศาสนาจะได้เป็นถึงศาสดา ส่วนพราหมณ์อีกฝ่ายซึ่งมีเพียงคนเดียวทำนายว่า พระองค์จะทรงเป็นพระศาสดา

เมื่อประสูติและทรงเจริญเติบโตในพระมหาราชวัง มีแต่ความสุขความสบาย กระทั่งอภิเษกสมรสและมีพระราชโอรส 1 พระองค์ ชื่อราหุล แปลว่า "ห่วง" วันหนึ่งเมื่อทรงตื่นบรรทมตอนดึก ทอดพระเนตรเห็นนางสนมนอนเกลื่อนท้องพระโรง ในลักษณะท่าทางที่น่ารังเกียจ

วันหนึ่งเสด็จออกจากพระมหาราชวัง เทวดาดลบันดาลให้ทรงพบเห็นความเป็นไปของมนุษย์ 4 ประการ คือการเกิด การเจ็บ การแก่ และการตาย ซึ่งทรงเห็นความไม่เที่ยงแท้ของมนุษย์ โดยเฉพาะความสุขสบายที่พระองค์ได้รับ

ในที่สุด จึงเสด็จออกจากพระมหาราชวังเพื่อทรงค้นหาความไม่เที่ยงนั้นด้วยการไปศึกษากับพระอาจารย์ของลัทธิต่างๆ ในขณะนั้น ซึ่งมีจำนวนมาก ก็ยังไม่มีพระอาจารย์คนไหนให้คำตอบได้ว่า ทำไมมนุษย์จึงต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงออกบำเพ็ญเพียงแต่ลำพังพระองค์เดียว ซึ่งกว่าจะสำเร็จตรัสรู้สัมโพธิญาณ ก็ใช้เวลานาน และมีการทดลองหลายประการ แม้แต่การอดอาหารเพื่อทรมานพระองค์เอง

ในที่สุด จึงพบว่า การบำเพ็ญเพียรด้วยทุกรกิริยา ไม่อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้ จึงล้มเลิก

สุดท้าย เมื่อพระวรกายแข็งแรงดี จึงทรงอธิษฐานว่าจะทรงบำเพ็ญเพียรภาวนา กระทั่งรู้ได้ถึงสาเหตุเหล่านั้น ในวันคืนเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 จึงตรัสรู้ถึงอริยสัจสี่ คือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการด้วยพระองค์เอง

จากนั้น จึงทรงออกโปรดเวไนยสัตว์ โดยเริ่มจากปัญจวัคคีย์ทั้งห้าที่เคยมาดูแลพระองค์ขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่เมื่อเห็นว่าพระองค์ทรงล้มเลิก จึงพากันเลิกปรนนิบัติอีกต่อไป

ปัญจวัคคีย์คนแรกที่บรรลุธรรมของพระองค์ และบรรลุเป็นพระอรหันต์องค์แรกคือ อัญญาโกณฑัญญะ จากนั้น จึงมีผู้ออกบวชในบวรพุทธศาสนาอีกเป็นจำนวนมาก และผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ล้วนแล้วแต่บรรลุนิพพานแทบทั้งสิ้น

กระทั่งคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา จึงทรงปรินิพพาน

ทั้งหมดนี้คือพุทธประวัติอย่างย่อ ซึ่งพุทธศาสนิกชนทั้งหลายพึงสดับ

แต่ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย รวมถึงบรรดาน้องหนูและน้าหนูทั้งหลายควรศึกษาเรียนรู้ คือ

"
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร"

ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสก่อนปรินิพพานว่า ท่านทั้งหลาย ควรถือเอาธรรมที่เราตรัสรู้แล้วเป็นที่พึ่ง และในที่สุด คือขอให้ทุกคนถึงพร้อมซึ่งความไม่ประมาทเถิด

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือ อริยสัจสี่ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค คือทุกข์ ความไม่สบายทั้งปวง สมุทัยเหตุแห่งทุกข์ นิโรธความดับทุกข์ และมรรคทางแห่งการดับทุกข์

น้องหนูทั้งหลายพึงสดับ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการเรียนรู้ เป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ และเป็นศาสนาแห่งการพิสูจน์ ซึ่งต้องเรียนรู้ ปฏิบัติ และพิสูจน์ด้วยตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าได้เรียนรู้ ปฏิบัติ และพิสูจน์ด้วยพระองค์เองมาแล้ว

จึงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนี้แล

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

 1905512109

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-19 20:57:30 IP : 124.121.137.119


ความคิดเห็นที่ 14 (2787399)

 

ยก 9 วัดขึ้นเป็นพระอารามหลวง

เมื่อวันที่ 21 พ.ค.นายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เปิดเผยว่า ที่มส.มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพิจารณายกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธ.ค. 2550 โดยยกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ 9 วัด ดังนี้

1.วัดราชสิงขร เขตบางคอแหลม กทม.

2.วัดบัวขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี

3.วัดศรีโสดา อ.เมือง จ.เชียงใหม่

4.วัดพายัพ อ.เมือง จ.นครราชสีมา

5.วัดศรีสระแก้ว อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

6.วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

7.วัดราษฎร์บูรณาราม อ.หลังสวน จ.ชุมพร

8.วัดแก้วพิจิตร อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี

9.วัดประดู่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

นายอำนาจกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน สืบเนื่องจากจังหวัดต่างๆส่งรายงานขออนุญาตสร้างวัด ตามบัญชีที่ 14/2550-บัญชีที่ 35/2550 มายังพศ. ที่ประชุมมส.นำเรื่องดังกล่าวเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามลำดับ ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง และเจ้าคณะพระสังฆาธิการตามลำดับจนถึงระดับจังหวัด นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯ และสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เห็นชอบให้สร้างวัดตามที่ยื่นจำนงมาจำนวน 220 วัด

 

* * * * * * * * * * * * * * * * **  ** *

 

 

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546


คำนิยามตามมาตรา 4 มีกำหนดไว้ว่า

"เด็ก" หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส ฯลฯ

"นักเรียน" หมายความว่า เด็กซึ่งกำลังรับการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั้งประเภทสามัญศึกษาและอาชีวศึกษาหรือเทียบเท่าอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน

"นักศึกษา" หมายความว่า เด็กซึ่งกำลังรับการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าอยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2205511036

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-22 10:24:00 IP : 124.121.135.242


ความคิดเห็นที่ 15 (2799453)

 

พ.ร.ฎ./พ.ร.ก./พ.ร.บ.

การจัดประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ จำเป็นต้องมีกฎหมายจัดประชามติ ที่ผ่านมาในร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มีการทำประชามติ ซึ่งมีการใช้ พ.ร.บ.ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ เป็นกฎหมายในการดำเนินการ โดยขณะนี้มีแนวคิดทั้งเสนอให้ออกเป็น พ.ร.ฎ และพ.ร.ก.ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐

ซึ่ง พระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) หมายถึง กฎหมายที่ รมต.ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะอาศัยอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนดนั้นๆ เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกานั้นจะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้อง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว จะต้องนำร่างพระราชกฤษฎีกา ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้นๆ

พระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจบริหารซึ่งก็คือ รัฐบาล ให้ใช้บังคับในกรณีเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ โดยการตราพระราชกำหนดในกรณีดังกล่าว ให้ทรงกระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ และต้องเร่งนำเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาในคราวต่อไปและครม.สามารถเรียกประชุมสมัยวิสามัญได้

ส่วนพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา เป็นกฎหมายหลักที่สำคัญที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่มีลำดับชั้นรองลงมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ(เดลินิวส์ ๒๔ พ.ค. ๒๕๕๑)

 

"กษมา"ให้ สพท.ติดตามนักเรียนพิการที่จบ ม.๓

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ) กล่าวในการประชุมผู้บริหารระดับสูง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ผอ.และรักษาการ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ๑๘๕ เขตทั่วประเทศ ที่ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นส์ กรุงเทพฯ ว่ารู้สึกห่วงใยศูนย์การศึกษาพิเศษ โดยเฉพาะโรงเรียนแกนนำที่จัดเรียนร่วม จึงอยากให้ ผอ.สพท.ติดตามว่าเด็กที่จบชั้นประถมศึกษามีที่เรียนเพียงพอหรือไม่ และนักเรียนพิการที่เรียนจบ ม.๓ หากมีปัญหาทางสติปัญญาจนไม่สามารถเรียนต่อระดับม.ปลายได้ ก็ขอให้ สพท.ช่วยดูแลโดยอาจจะร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)จัดการศึกษาให้ หรือจัดหาโรงเรียนเรียนร่วมที่สอนสายวิชาชีพเพื่อรองรับก็ได้

( สยามรัฐออนไลน์ ๒๖ พค. ๒๕๕๑ )

 

 * * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ 2705511535

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-27 15:22:49 IP : 124.121.142.100


ความคิดเห็นที่ 16 (2801282)

 

ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ใส่ชุดอวกาศ พบกล้ามเนื้อมีแรง-พูดจาได้ดีขึ้น


 

นักบินอวกาศที่อยู่ในอวกาศเป็นเวลานานๆ เช่น ครึ่งปี และผู้ป่วยจากโรคเส้นเลือดในสมองแตก-ตีบ ผู้ที่เกิดการบาดเจ็บทางสมอง ต่างมีอาการอย่างหนึ่งที่เหมือนๆ กันคือ รู้สึกว่าพูดอย่างลำบาก เมื่อเวลาเดินต้องมีคนช่วยพยุง การที่นักบินรู้สึกเช่นนี้เป็นเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแอเนื่องจากอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักเป็นเวลานาน ส่วนที่ผู้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตเพราะเส้นเลือดแตก-ตีบทำลายเนื้อสมองในส่วนที่ควบคุมการพูดและการเคลื่อนไหว

นางอิเนสซ่า คอซลอฟสกาย่า สมาชิกสถาบันวิทยาศาสตร์รัสเซีย กล่าวว่า สำหรับนักบินอวกาศสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยเมื่อกลับลงมายังโลกแล้ว ต้องเข้ารับการฝึกฝนโดยสวมชุดอวกาศพิเศษและให้ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อกลับมาแข็งแรงดังเดิม

ชุดอวกาศพิเศษนี้เริ่มใช้ในการรักษาผู้ป่วยตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว และช่วยผู้ป่วยโรคสมองที่ต้องนอนแซ่วอยู่กับเตียงนับพันคนให้กลับมาเคลื่อนไหวได้ เช่น ทำให้ผู้ป่วยเส้นเลือดสมองแตกขนาดกลางจนถึงรุนแรงกลับมายืนได้ด้วยขาของตนเองอีกครั้งภายในเวลาเพียง 1 อาทิตย์ และจากการรักษาพบว่า ผู้ป่วย 82% มีอาการดีขึ้น ไม่ใช่แต่การเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพูดด้วย

ศ.เซอร์เก ชวาร์คอฟ ผู้อำนวยการศูนย์ฟื้นฟูโรคสมอง กล่าวว่า วิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยหันมาให้ความร่วมมือกับแพทย์และพยาบาลเป็นอย่างดี เพราะผู้ป่วยมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองและมีแนวโน้มของการฟื้นฟูร่างกายดีขึ้น

2805510824

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ วันที่ตอบ 2008-05-28 08:11:46 IP : 124.121.137.99


ความคิดเห็นที่ 17 (2878507)

 

ทำอย่างไรให้เราเป็นคนที่มีบุคลิกภาพในแบบที่คนอื่นๆ อยากจะคบค้าสมาคมด้วยมิตรไมตรีที่แท้จริง
       
       
1. เปิดการสนทนา ทักทายผู้อื่นก่อนเป็นเรื่องที่ดี ผู้อื่นก็จะรู้ว่าคุณพร้อมที่จะให้เขาเป็นผู้ร่วมสนทนา และการสนทนากันก็จะเริ่มขึ้น
       
       
เริ่มต้นพูดก่อนด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส นุ่มนวล มีสัมมาคารวะ ถูกกาลเทศะ อาจเปิดด้วยการตั้งคำถามหรือชวนคุยเรื่องใกล้ตัว ที่อาจจะเกี่ยวข้องกันกับทั้งคุณและเขา เช่น ไวน์รสชาติดีนะคะ (กรณีที่อยู่ในงานเลี้ยงเดียวกัน) เพลงเพราะจังเลยนะคะ (อยู่ในงานเลี้ยงเล็กๆ) ทำงานที่นี่หรือคะ บ้านอยู่แถวนี้หรือครับ (เพิ่งพบกัน) ฯลฯ
       
       
2. หน้าตารับแขก คนที่มีบุคลิกเปิดกว้าง ดูได้ง่ายที่สุดจากสีหน้าแววตา คนบางคนชอบทำหน้าหงิกหน้างอ คนพวกนี้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเพียงแค่เห็นสีหน้าก็รู้แล้วว่าเขาไม่เปิดประตูรับใคร หรือไม่อยู่ในอารมณ์จะพูดหรือสื่อสารกับคนอื่น
       
       
ดังนั้น ควรยิ้มแย้มแจ่มใส มีทีท่าที่ผ่อนคลาย ทั้งสีหน้า แววตา และอากัปกิริยา ซึ่งเป็นภาษากายที่จะสื่อสารให้คนรอบข้างรู้ว่าคุณไม่ปิดกั้นการเข้ามาของเขา
       
       
3. แลกเปลี่ยนความคิดได้ คนทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง และชอบที่จะแสดงความคิดของตัวเองออกมา จะเป็นการดีทีเดียวที่เขาพบว่า คุณเป็นคนหนึ่งที่เปิดรับการพร่ำพูดของเขา
       
       
ดังนั้น ในการสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ไม่เพียงแต่เราเปิดรับเขาผ่านสีหน้าท่าทาง และผ่านการทักทายสนทนาเท่านั้น เรายังควรจะสานต่อความสัมพันธ์นั้นให้เหนียวแน่นและยั่งยืนต่อไปด้วย โดยการให้โอกาสอีกคนหนึ่งพูด และเปิดโอกาสให้คนเคยพูดได้รับฟังความคิดเห็นของคุณด้วย
       
       
4. ใส่ใจและจริงใจ หลังจากที่ความสัมพันธ์ของคนเราพัฒนาถึงขั้นที่สามารถพูดจากันได้สนิทใจแล้ว เรายังต้องมีวิธีหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์นั้นไว้ให้ยาวนานด้วย
       
คนที่รู้จักใส่ใจต่อกัน และจริงใจต่อกัน มักมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายเป็นมิตรสหายทางการค้า เป็นเพื่อนคู่คิดในที่ทำงาน และอาจจะถึงกับเป็นญาติธรรมกันทางจิตวิญญาณโน่นทีเดียว
       
       
จงใส่ใจทั้งสุขและทุกข์ของอีกฝ่าย ใช้การเปิดใจกว้างของเราให้ลึกซึ้งขึ้น ระหว่างการคบค้า (ที่ตั้งใจว่าจะให้มัน) ถาวรนี้เอง การเอาใจใส่ต่อกันในเรื่องของความคิด อุปสรรค ปัญหาชีวิต ความสุข ความยินดี ฯลฯ ต้องมี ต้องเกิด และต้องปฏิบัติอย่างจริงใจ ออกมาจากใจจริง เช่น ไต่ถามทุกข์สุข แบ่งปันสิ่งของเครื่องใช้ แบ่งปันความรู้ ดูแลแนะนำยามป่วยไข้ ฯลฯ
       
       
5. ไม่หน้าไหว้หลังหลอก คนบางคนหน้าไหว้หลังหลอก ปากอย่างใจอย่าง พูดออกไปทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึก อย่างนี้ไม่ดี
       
       
การไม่หน้าไหว้หลังหลอกทำได้ตั้งแต่เริ่มต้นทักทายกันโน่นแล้ว รอยยิ้มที่มอบให้กันต้องออกมาจากใจจริงๆ คำพูดผ่านมาจากความคิด ความรู้สึก และการกลั่นกรอง การปฏิบัติดีต่อกันก็ออกมาจากความรู้สึกแท้ๆ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ เพราะหวังผลประโยชน์ตอบแทน
       
       
การไม่หน้าไหว้หลังหลอก ถือเป็นการให้เกียรติกันที่ล้ำค่ามาก เพราะมิได้เป็นแค่การให้เกียรติกับคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการให้เกียรติแก่ตัวเองอย่างสูงยิ่งด้วย
       
       
เรียบเรียงจากคอลัมน์ Look smart ของ อ.ประณม ถาวรเวช ในนิตยสาร first ปักษ์แรกเดือนกรกฎาคม 2551

* * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย  ทรัพย์ศิริ

สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

www.waddeeja.com

Tel. 02-990-0331

1807511121

ผู้แสดงความคิดเห็น พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ (apdmajor1-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2008-07-18 11:21:49 IP : 124.121.135.228


ความคิดเห็นที่ 18 (3205947)
in addition fake bag composition fake handbags for sale louis vuitton the collection in retail how is the choice of hope you are charming handbag design and durability fake louis vuitton belt ensure material
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (mtiiki-at-pchome-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-25 00:37:19 IP : 125.121.215.19


ความคิดเห็นที่ 19 (3205993)
ugg for sale no surprise to those living in south louisiana that the tracks tendency is to revert to its original form of mudhole discount ugg nightfall boots riders will find ugg boot for sale ugg
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (qclwzb-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-08-25 00:42:12 IP : 125.121.215.19


ความคิดเห็นที่ 20 (3218750)
hair straighteners hair straighteners christian louboutin christian louboutin christian louboutin wedges christian louboutin wedges jewelry jewelry
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (ovnrrr-at-hushmail-dot-com)วันที่ตอบ 2010-10-20 13:42:11 IP : 125.121.215.48


ความคิดเห็นที่ 21 (3221215)
Your Guide For Shopping for GHD Hair Straighteners The trend of curly hair straightening has grown to be incredibly common these days and majority of females really like to straighten their hair follicles Within the past it was prevalent to straighten the hair only on special events but at present women favor to straighten their hair follicles everyday to look elegant and attractive It truly is observed that curly hair are damaged mainly because of exposure towards the heat in the straightener so it truly is needed to go through all safety measures which will decrease the dangerous impacts of hair ghd straighteners You will discover different varieties of curly hair straighteners that have diverse capabilities so the choice from the most ideal locks straightener is essential in accordance for the type of hair follicles to be able to avoid the damaging effects ghd locks straightener may be the very best straightener that delivers quite a few advantageous capabilities You will discover diverse models of GHD hair straighteners that happen to be appropriate for certain sorts of head of hair GHD IV styler would be the most acceptable tool that could be employed for all types of curly hair GHD IV salon styler is helpful for thick curly hair It has wider plates that make it uncomplicated to straighten the curly hair in brief duration of time For those having brief locks GHD IV mini styler would be the ideal choice to purchase and it can create waves or curls too For getting GHD curly hair straightener it really is far better to evaluate the attributes and prices to select 1 that is according to personal demands There are many accessories that purchaser can obtain with the straightener so ahead of getting GHD hair follicles straightener the data about all equipment need to be taken There are lots of GHD locks straighteners that are created in different colors The shade of your straightener has nothing to do with its attributes People can select any color of their choice Just before acquiring GHD curly hair straightener it can be essential to be certain that it offers the warranty of two years There are some pretend GHD locks straighteners readily available inside markets so the buyer should make certain that the product he/she is acquiring is original If the GHD hair follicles straightener is bought from a reputable retailer then it will not be a pretend straightener Cautious inspection just before shopping for the straightener lessens the dangers of shopping for a fake straightener
ผู้แสดงความคิดเห็น 1 (mvvihb-at-126-dot-com)วันที่ตอบ 2010-11-01 17:20:10 IP : 125.122.102.4



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



สมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล 802/410 หมู่12 หมู่บ้านวังทองริเวอร์ปาร์ค ซอย10/4 ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี 12130 โทร : 02-990-0331 Copyright © 2010 All Rights Reserved.