ระบุตัวตนด้วยเส้นเลือดดำ

เทคโนโลยีปาล์มซีเคียว ในรูปแบบการระบุตัวตนด้วยการสแกนเส้นเลือดดำ 
กระทั่งปี ค.ศ. 2003 ฟูจิตสึ จึงนำเสนอการสแกนเส้นเลือดดำเพื่อใช้ในการระบุตัวตนออกสู่ตลาดเนื่องจากเห็นว่ามีต้นทุนในการติดตั้งเครื่องต่ำกว่าการสแกนหน้าผากเพื่อระบุตัวตน และมีความผิดพลาดน้อยกว่าการสแกนลายนิ้วมือและการสแกนหน้าผาก
 
นายกิตติพงศ์ วิชัยดิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บิสซีเนส (ประเทศไทย) กล่าวว่า การระบุตัวตนด้วยการ สแกนเส้นเลือดดำมีความผิดพลาดในการอ่านข้อมูลต่ำกว่า 0.00008% หรือคิดเป็นการสแกนเส้นเลือดดำ 10 ล้านครั้งมีความผิดพลาด 8 ครั้ง ซึ่งมีโอกาสความผิดพลาดน้อยกว่าการสแกนลายนิ้วมือซึ่งอยู่ที่ 0.001% ส่วนการสแกนหน้าผากมีโอกาสความผิดพลาดอยู่ที่ 0.0001%
 
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องการระบุตัวตนมาก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย โดยในปีที่ผ่านมาแนวโน้มการแสดงตัวตนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 28% โดยเฉพาะการแสดงตัวตนจากการใช้เทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือซึ่งมีสัดส่วนการใช้งานถึง 58% ของการใช้เทคโนโลยีระบุตัวตน ขณะที่การระบุตัวตนจากการสแกนเส้นเลือดดำมีสัดส่วนการใช้งานเพียง 3% ใกล้เคียงกับการใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนจากการจดจำเสียง
 
สำหรับกรรมวิธีในการสแกนเส้นเลือดดำ จะใช้แสงที่มีความยาวคลื่นประมาณ 760 นาโนเมตรใกล้เคียงกับแสงอินฟราเรด เมื่อฝ่ามือถูกฉายด้วยแสง ภาพที่ได้จะแตกต่างจากภาพที่สายตาของคนเรามองเห็นภายใต้แสงปกติ โดยภาพที่ถ่ายภายใต้แสงที่ใกล้เคียงกับแสงอินฟราเรดและรูปแบบของเส้นเลือดดำที่ได้ จะถูกนำไปสร้างเป็นรูปแบบที่ต้องการ โดยการประมวลผลรูปภาพและเก็บเอาไว้ ซึ่งการเก็บข้อมูลเส้นเลือดดำสามารถเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ หรือจะเก็บไว้ในบัตรประจำตัวก็ได้
 
ส่วนข้อจำกัดในการใช้งานอยู่ที่ เวลาสแกนหากมีแสงไฟ หรือ แสงสว่างจากธรรมชาติมาตกกระทบมากเกินไป อาจทำให้การอ่านผิดพลาดได้
 
อย่างไรก็ตาม แม้การสแกนเส้นเลือดดำเพื่อระบุตัวตนจะเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 ปี ในการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจและมั่นใจ
 
แต่สำหรับในประเทศญี่ปุ่น การระบุตัวตนด้วยการสแกนเส้นเลือดดำ ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นการระบุตัวตนโดยใช้ข้อมูลเฉพาะที่อยู่ภายในร่างกาย ปลอมแปลงได้ยาก ประชาชนกว่า 97-98% สามารถใช้งานได้ ต่างจากการสแกนลายนิ้วมือที่จะมีปัญหามากสำหรับผู้ที่ต้องทำงานกับสารเคมี ซึ่งทำให้ลายนิ้วมือเลือนราง ที่สำคัญเวลาใช้งานไม่ต้องสัมผัสกับเครื่อง ป้องกันการติดเชื้อโรค เหมาะกับการใช้งานในสถานที่ที่มีความเสี่ยง เช่น โรงพยาบาล
 
ปัจจุบันญี่ปุ่นนำเทคโนโลยีการสแกนเส้นเลือดดำไปติดไว้กับเครื่องกดเงินเอทีเอ็ม กว่า 40 แห่ง เพื่อยืนยันการเป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็มคู่กับการกดรหัสผ่านแล้ว
 
เช่นเดียวกับประเทศบราซิล ที่มีกรณีขโมยข้อมูลและเงินในบัตรเอทีเอ็มเป็นจำนวนมาก ก็ใช้การสแกนเส้นเลือดดำเพื่อระบุตัวตนของเจ้า ของบัตรไว้ในเครื่องเอทีเอ็มกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ
 
นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทย การระบุตัวตนโดยใช้ข้อมูลทางชีวภาพจะถูกนำมาใช้อย่างแน่นอน แต่จะนำไปสู่การใช้งานจนถึงขั้นระบุตัวตนด้วยเส้นเลือดดำหรือไม่คงต้องรอดู
  
เบื้องต้นเน้นการนำไปประยุกต์ใช้กับระบบระบุตัวตนที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยเสริมให้การระบุตัวตนมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น
 
ระบบนี้ไม่จำกัดว่ามือเล็ก หรือมือใหญ่ ขอให้มีเส้นเลือดดำเป็นพอ.

* * * * * * * * * * * * * * * * *

พันตรีศิริชัย ทรัพย์ศิริ

นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวสากล

โทร. 02-990-0331

http://www.apdi2002.com

http://www.youtube.com พิมพ์ apdi. หรือ สมาคมคนพิการ

2004512023